Story telling จะช่วยให้คุณเป็น Vtuber ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

คุณดู Vtuber เพราะอะไรเหรอครับ?

ถ้าหากคุณถามผม ผมจะตอบว่า ผมดูเพราะ Free talk ครับ

หลายครั้งเราจะเห็น Vtuber ทำ content หลากหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือ Free talk ครับ ว่ากันตามตรง หลายคนบอกว่า ทำ Free talk ง่ายกว่าการทำ content แนวอื่น แต่เรื่องนั้นไม่จริงเลยครับ

สำหรับผม ผมจะติดตาม Vtuber หรือ content creator ท่านไหน ผมจะดูที่เขาเล่าเรื่อง (Story telling) ผ่าน content ที่เขาทำ วันนี้ผมเลยจะมาคุยเรื่องนี้กันครับ!

นัก Free talk และ นัก Story telling

เรามาทำความรู้จักกับ Free talk กันก่อนดีกว่าครับ

Free talk คือ content รูปแบบหนึ่งที่ Vtuber สามารถคุยเรื่องอะไรก็ได้กับคนดูหรือคนที่มา collab ด้วย

คุณคิดว่าคุณเป็นคนเล่าเรื่องเก่งมั้ยครับ?

บางคนอาจตอบผมว่า “ไม่ได้เก่งเลยสักนิด เพราะงั้นฉันเลยเลือก Free talk เพื่อหาคนอื่นชวนฉันคุย” แต่ถ้าคุณไม่มีคนคุยด้วย คุณจะทำยังไงครับ?

ผมเคยเป็น Vtuber ที่เน้นทำ content Free talk ครับ เพราะคอมพิวเตอร์ผมไม่สามารถเล่นเกมและไลฟ์สตรีมได้

ปัญหาของ Vtuber ที่ทำ Free talk (รวมถึงผมในตอนนี้ด้วย) คือ การไม่เตรียมเรื่องเล่า กรณีที่ไม่มีคนคุยด้วย หรือแม้กระทั่ง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราถนัดคุยเรื่องอะไร

ผมมารู้ทีหลังว่า ต่อให้เป็น Free talk ที่คุยอะไรก็ได้ เราก็ต้องมี “เรื่อง” ในหัวก่อน

มันอาจเป็นเหตุการณ์ที่คุณเจอในเช้าวันนี้ก็ได้ แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ๆ อย่างการไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง แต่เราอยากเล่าเรื่องนี้ในไลฟ์ Free talk โจทย์ของพวกเราคือ เราจะเล่าออกมายังไงให้คนดูอยากฟัง?

ทางแก้คือ Story telling ครับ

คุณจำเรื่องผีที่มีคนมาเล่าให้คุณฟังได้มั้ยครับ? คุณสงสัยมั้ยว่าทำไมคุณถึงตั้งใจฟังเขา?

เหตุผลอาจเป็นเพราะคุณชอบเรื่องลี้ลับ แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากการ เล่าเรื่องของเขาครับ

Story telling คือ ทักษะการเล่าเรื่อง ครับ

คุณจินตนาการออกมั้ยครับว่า คนที่เล่าเรื่องผีไม่ได้เรื่องเป็นคนยังไง? เขาคงเป็นคนที่ไม่รู้ว่าฉากไหนคือฉาก Climax หรือบทคำพูดนี้จะสร้าง impact กับคนฟังยังไง

สรุปง่าย ๆ คือ คนที่เล่าเรื่องผีไม่ได้เรื่องคือ คนที่ไม่ทำให้เราเห็นภาพครับ

Story telling เป็นเรื่องของการทำให้สารที่ต้องการจะสื่อ ออกมาเป็นภาพที่เห็นแล้วเข้าใจง่าย

หลักการพื้นฐานของ Story telling คือ

  • Plot
  • Character
  • Conflict
  • Resolution

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ผมพยายามทำให้บทความต่อ ๆ ไปของผมใช้ทักษะ Story telling มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนอกจากมันทำให้คุณอยากอ่านบทความของผมแล้ว มันคือทักษะแห่งปี 2025 ที่มีเพื่อ content creator อย่างพวกเราครับ

Plot

Plot คือ เนื้อหา, ฉากและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เราต้องการนำเสนอ จินตนาการถึงหนังที่คุณชอบดูครับ ผมเชื่อว่าสาเหตุที่คุณชอบหนังเรื่องนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก Plot ของหนัง เราอาจเรียกว่าเป็นเหมือน แผนที่ ที่เราวาดไว้เพื่อกำกับอารมณ์ของคนดูก็ได้ครับ

ตัวอย่างที่ผมทำคือ บทความนี้ครับ 

ผมเริ่มจาก

  • อธิบายความหมาย Free talk
  • Key massage (ความยากในการทำ Free talk)
  • Resolution (วิธีการทำให้ Free talk น่าสนใจ)

มันอาจเป็นแค่โครงคร่าว ๆ ที่ทำให้ผมเข้าใจว่าผมอยากเล่าเรื่องอะไร แต่การสร้างโครงเรื่องอันนี้จะทำให้เราไม่ออกนอกลู่นอกทางครับ และการออกนอกลู่นอกทาง ทำให้คนอ่านเสียเวลา

การทำให้คนอ่านเสียเวลา เป็นเรื่องที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่นัก

Character

Character คือ ตัวละครที่มาเป็นตัวเอกของเรื่อง ที่ถ้าหากไม่มีเขา Plot ก็จะไม่ดำเนินต่อ

อย่างในบทความนี้ ผมใช้ตัวเองเป็น Character เพราะผมเล่าเรื่องของตัวเองครับ

ผมต้องอธิบาย Character ว่าทำไมผมถึงต้องมาเล่าหรือเขียนบทความนี้ ผมอธิบายไปว่า “ผมเคยเป็น Vtuber ที่เน้นทำ content Free talk มาก่อน” มันจะทำให้คนฟังเชื่อว่า ผมมีความรู้เรื่องนี้จริง ๆ นะ มันคือการสร้าง Relationship กับคนฟังครับ

ผมชอบหนังที่ผมผูกพันธ์กับตัวละคร แต่ผมจะผูกพันธ์กับตัวละครนั้นได้ ผมต้องรู้จักเขาก่อนทั้ง นิสัย, ความคิด, เป้าหมาย อาจไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายเว่อวัง แต่ผมแค่อยากรู้ว่าตัวละครนี้ทำไมถึงมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ได้เท่านั้นเอง

Conflict

Conflict คือ ปัญหาที่ Character เจอ

คุณคิดว่าหนังที่ไม่มีอุปสรรคเลย จะเป็นหนังที่ดีหรือเปล่าครับ?

ผมชอบหนังที่ตัวเอกต้องเจอกับอุปสรรค ไม่ใช่เพราะผมซาดิสม์นะครับ (ฮา) แต่เพราะผมชอบอารมณ์ตอนที่ตัวเอกผ่านอุปสรรคไปได้ครับ

พวกเราจะรู้สึกดีไปด้วย เหมือนกับว่าพวกเรากับตัวเอกผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน เพราะงั้นหนังที่ดี เลยจำเป็นต้องมีอุปสรรค เพราะคนดูชอบอารมณ์ของการก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ครับ

ยิ่งอุปสรรคนั้นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยความดิ้นรนเพื่อการมีชีวิต มนุษย์จะทำทุกวิถีทางเพื่อผ่านอุปสรรคครับ พวกเรารู้สึกและเข้าใจอารมณ์นั้นไม่มากก็น้อยในชีวิตของเรา

ความรู้สึกสับสนตอนที่ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรดีของผม อาจเป็นปัญหาเหมือนกับของใครบางคน การมีปัญหาร่วมกันและเข้าใจถึงความรู้สึกนั้น จะทำให้คนฟังอยากฟังเราต่อครับ

Resolution

Resolution คือ ทางออกของ Conflict

อย่างที่บอก คนเราไม่ได้ชอบ Conflict แต่เราชอบความรู้สึกตอนที่เราก้าวข้าม Conflict ไปได้

ถ้าหากหนังผูกปมเอาไว้ และในตอนจบไม่คลายปมอะไรเลย เป็นผม ผมด่าหนังเรื่องนั้นแล้วครับ

Resolution อาจจะไม่ได้แก้ปัญหาให้กับคนฟังก็จริง แต่มันคือการแก้ปัญหาให้กับ Character ครับ

คุณเคยเจอเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัด แต่ในตอนสุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีหรือเปล่าครับ?

ถ้าคุณเคยเจอ คุณจะเข้าใจความรู้สึกของ Character ดีว่ามันวิเศษแค่ไหน

ส่วนใหญ่ Resolution จะมาในตอนท้ายของเรื่องครับ ไม่ค่อยโผล่มาในตอนกลางเรื่องหรือตอนต้นเรื่อง

อย่างในบทความนี้ ผมเล่าถึงความความทุกข์ใจร่วมกันก่อน จากนั้นผมค่อยเติมทางแก้ของผมลงไป (นั่นคือ Story telling แก้ปัญหาว่าผมจะเล่าเรื่องยังไงให้น่าฟัง)

สรุป

Story telling เป็นทักษะที่ทำให้คุณเป็น Vtuber ที่ดีขึ้นได้ ก็เพราะมันทำให้คุณมีคนอยากฟังคุณ

ต่อให้คุณมีเรื่องที่น่าสนใจแค่ไหน แต่ถ้าคุณเล่าออกมาแล้วไม่มีคนฟัง มันก็เท่านั้น

คุณสามารถเปลี่ยนเรื่องธรรมดาให้น่าสนใจได้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ทุกคนเคยเจอแล้วก็ตาม

ทักษะ Story telling ไม่ได้จำเป็นแค่ในฐานะ Vtuber แต่มันคือทักษะของมนุษย์ที่สืบทอดต่อกันมา

พวกเรามีชีวิต, มีความเชื่อ, มีวัฒนธรรมได้ก็เพราะ Story telling

ทำไมยอดคนดูลดลง?

จุดเริ่มต้นของ Vtuber หลายท่านคือ การเดบิ้วท์ (Debut)

คุณจำได้หรือเปล่าครับว่า คนดูไลฟ์เดบิ้วท์แรกของคุณมีจำนวนเท่าไหร่? แล้วตอนนี้มีคนดูคุณอยู่เท่าไหร่?

พวกเราสงสัยว่า ทำไมยอดคนดูในตอนแรกถึงมากกว่าตอนที่เราไลฟ์ปกติ ผมเองก็สงสัย เลยอยากมานั่งคุยเรื่องนี้ครับ!

จุดเริ่มต้นของฉันคือการเดบิ้วท์

การเดบิ้วท์เป็นเหมือนกับวัฒนธรรมหลักของ Vtuber ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศไหนก็ตาม

จากในตอนแรก Vtuber ถูกมองว่าเป็นเหมือนกับ Idol บนเวที จนถึงปัจจุบันที่ Vtuber อาจเป็นเหมือนกับเพื่อนคุยระหว่างทำงานที่บ้าน การเดบิ้วท์ก็ยังคงเห็นได้ในปัจจุบัน

การเดบิ้วท์มีประโยชน์ในแง่ของการสร้างรากฐานของคาแรกเตอร์ Vtuber และการสร้างฐานแฟนคลับของช่อง

เพราะแบบนั้นเลยทำให้ Vtuber หลายท่านเลือกจะเดบิ้วท์กัน นอกจากที่มันคือ Industry standard มันสร้างตัวตนและแฟนคลับให้มีรากฐานที่แข็งแรงอีกด้วย

ก็มีบ้างแหละครับที่มี Vtuber ที่ไม่ได้อยากเดบิ้วท์ แต่จุดเริ่มต้นของพวกเขาก็จะมีเหมือนกันคือ การสร้างตัวตนและแฟนคลับให้แข็งแรง แค่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการเดบิ้วท์

เมื่อเป็นแบบนั้น Vtuber ที่มีทีมงาน ที่เห็นถึงความสำคัญนี้ จึงมีการเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดี พวกเขาวางแผนว่าจะทำให้ไลฟ์เดบิ้วท์แรกออกมาดีที่สุดยังไง

สำหรับผมในตอนที่เดบิ้วท์ครั้งแรก ผมเก็บความตื่นเต้นด้วยการทำตัวให้รู้สึกปกติที่สุด ผมมีแผนและการเตรียมตัวเพราะผมและทีมงานรู้ว่ามันคือเรื่องสำคัญ

เราอาจเห็นว่าไลฟ์เดบิ้วท์มีการจัดวางแผนผังการนำเสนอที่ตายตัว ตั้งแต่ แนะนำตัวเอง, บอกสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ, เป้าหมาย และขอบคุณทีมงาน

ไลฟ์เดบิ้วท์แรกเลยเป็นเหมือนกับ Awareness ใน Marketing funnel ที่ตามหาคนที่ชอบอะไรเหมือนกันกับ Vtuber ท่านนั้น

และตามหลัก Marketing funnel มันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่จะมีคนดูเยอะ เพราะมันคือ การทำให้คนเห็นว่า ฉันคือ Vtuber นะ พวกเธอสนใจฉันหรือเปล่า?

คนดูที่เริ่มลดลง

เมื่อผ่านไปนานวัน คนดูจะเริ่มลดลงจนน่าวิตก จากคนดูหลักร้อยอาจลดเหลือหลักสิบ หรือคนดูหลักสิบลดลงเหลือหลักหน่วย

คำถามในหัวของพวกเราคือ เราทำอะไรผิดวะ?

เราเดินเกมพลาดตรงไหน? เราทำอะไรไม่ถูกใจหรือเปล่า? โมเดลเราไม่สวยพอเหรอ?

การลดลงของคนดูสร้างความกังวลให้ Vtuber มากครับ จนบางทีเราอาจไปโทษสิ่งอื่น เพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น เช่น โทษสังคมว่า เพราะมี Vtuber ผุดเป็นดอกเห็ด คนเลยไม่มาสนใจฉัน อะไรทำนองนั้นครับ (ผมก็เป็น)

พวกเราบางคนอาจผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างสวยงาม สวยงามที่ว่าคือ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไรที่คนดูจะลดลง เพราะตัวเขาก็ยังทำในสิ่งที่ตัวเขารักอยู่เหมือนเดิม

 

“แต่ฉันก็รักในการเป็น Vtuber นะ!” Vtuber บางท่านได้ตะโกนออกมาจากฝูงชน

จริงครับ ที่คุณรักในการเป็น Vtuber คุณเลยมาเป็น Vtuber แต่การทำในสิ่งที่รัก ไม่เคยบอกว่าคุณจะได้ดิบได้ดีตลอดเวลาที่คุณทำ มันแค่ทำให้คุณทำมันบ่อยขึ้นโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น

อาการ Burn out และอาการคิดมาก เริ่มมาหาเราบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ พวกเราจะเห็นว่ามี Vtuber ที่ประกาศจบการศึกษาไปไม่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งคนที่มีชื่อเสียงไปจนถึง Vtuber ที่มาเป็น Vtuber ได้ไม่ถึง 6 เดือน

มันคือการต่อสู้ดิ้นรนหรือเปล่าในการอยู่ที่นี้? มันคืออีกหนึ่งคำถามที่ถามตัวเองระหว่างที่นั่งกอดเข่าในห้องนอน หลังจากเลิกไลฟ์สตรีม เพราะมีคนดูเท่ากับ 0 คน

ความสับสนที่มากขึ้น

คุณสงสัยมั้ยครับว่า ถ้า Vtuber จบการศึกษาไป พวกเขาจะทำอะไรต่อ?

คำตอบคือ กลับไปใช้ชีวิตในฐานะคนทั่วไปครับ

Vtuber เป็นเหมือนกับโลกอีกใบ ตัวตนอีกแบบ ที่พวกเราอาจสร้างขึ้นเพื่อหนีออกจากโลกความจริงที่โหดร้าย

พวกเราทุกคนมีปัญหาในโลกคนทั่วไป บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก หรือบางคนไม่สามารถเข้ากับคนอื่นได้เลย

การสร้างตัวตน Vtuber อาจจะมีมากกว่าแค่ต้องการการยอมรับ แต่มันอาจหมายถึงทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ก็ได้

คุณเคยได้ยินคำที่ว่า ความรู้สึกอับอายมันก็ไม่ต่างจากความตาย หรือเปล่าครับ?

ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ผมอยากมีคนมายอมรับในตัวผม เพราะผมรู้สึกอายที่ตัวเองไร้ค่าครับ ความรู้สึกอับอายมันก็ไม่ต่างจากการที่ผมตายทั้งเป็น

คนเรารู้สึกอับอายไม่เหมือนกันครับ แต่เรารู้ว่า ความรู้สึกของการตายทั้งเป็นมันเป็นยังไง

เมื่อผมกลับไปใช้ชีวิตในฐานะคนทั่วไป ผมรู้สึกว่าผมต้องกลับมาเจอกับความจริงที่น่าอายของผม เจอกับความจริงที่เราอ่อนแอแล้วเราก็แพ้ไปในตลาด Vtuber

อาจแตกต่างนิดหน่อยตรงที่ ผมเลือกออกจากการเป็น Vtuber เพราะผมรู้ว่าผมอยากไปทำงานด้านอื่นต่อ แต่ผมต้องผ่านความจริงที่ว่า

ก็ถ้าหากเรามีคนดูเยอะแต่แรก เราก็คงไม่เลิกง่าย ๆ แบบนี้หรอก

ตอนที่ผมออกมาเพื่อเดินตามทางของตัวเอง ทางในโลกคนทั่วไปมันก็ดูน่ากลัวจริง ๆ ครับ ผมไม่รู้เลยว่าจะเดินไปทางในต่อดี ในอายุที่เกือบจะ 25 ปี

บางทีมันอาจเป็นแบบนั้นมาตลอด เป็นแบบที่ว่า ถ้าคุณไม่เจ๋งพอในวงการนี้ พยายามให้ตายคุณก็จะไม่ประสบความสำเร็จ มันน่าอับอายสำหรับผมที่ผมไม่ผ่านบททดสอบนี้ครับ

มันโอเคที่จะสับสน และมันโอเคที่คนดูน้อยลง

หลังจากผ่านมรสุมชีวิต ผมได้เข้าใจแล้วว่า มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่คนดูจะลดลง ถ้าว่ากันตามหลัก Marketing funnel คือ:

  1. Awareness
  2. Consideration
  3. Conversion
  4. Loyalty

What Is a Marketing Funnel: Stages & Targeting Strategies

ขอบคุณภาพจาก Semrush

อย่างที่เห็นว่ามันคือ กรวยคัดกรอง

พูดง่าย ๆ ว่า การเดบิ้วท์มีไว้เพื่อกรองคนที่น่าจะชอบเรา นั่นเอง

พวกเรารู้ว่าในโลกนี้ ไม่มีทางที่ทุกคนจะชอบเรา ผมคิดว่างานเขียนหรือฝีปากผม ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบ แต่มันจะต้องมีคนที่ชอบในงานเขียนหรือฝีปากผมสักคนแน่นอน

วงการ Vtuber ก็เหมือนกันครับ ในท้ายที่สุดที่เรากลั่นออกมาจนเหลือคนดูที่ชอบเราจริง ๆ ปริมาณต้องน้อยกว่าในตอนไลฟ์เดบิ้วท์เสมอ

นี่เป็นแค่หลักการทางวิชาการตลาด แต่ปัญหาจริง ๆ ที่ทำให้เราทุกข์มาจากภายในใจของเราเอง

การรับมือกับความทุกข์ของเราคือ Skill ที่ Vtuber ต้องมี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ค่ายหรือกลุ่ม Vtuber มักจะรับคนที่อายุมากกว่า 18 เพราะเชื่อว่า คนคนนั้นจะมีวิธีรับมือแล้ว

แต่อายุไม่เกี่ยวข้องกับการรู้วิธีรับมือ มันก็เหมือนกับว่าคุณอายุจวนจะ 35 แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรู้วิธีการทำกับข้าว ทั้งที่คุณอาจรู้หรือไม่รู้ว่า การทำกับข้าวเป็น มันเจ๋งแค่ไหน

อายุเลยไม่เกี่ยวว่าคุณมีวิธีรับมือหรือเปล่า ต่อให้คุณอายุน้อย ถ้าคุณรู้ว่าเวลาตัวเองเจอความทุกข์ เราจะทำยังไง แบบนั้นคุณก็มีวิธีการรับมือความทุกข์แล้ว

บางคนอาจแก้ด้วยการกินของอร่อย บางคนอาจแก้ด้วยการนั่งสมาธิ บางคนอาจแก้ด้วยการร้องเพลง พวกเรามีหลากหลายวิธีในการแก้ความทุกข์ในใจครับ

คำแนะนำของผมมันอาจดูศาสนาพุทธสักหน่อย แต่ผมก็อยากให้คุณลองเอาไปใช้ดูครับ

ผมแนะนำว่า ให้คุณรู้ปัญหาและแก้ที่สาเหตุครับ

ถ้าหากปัญหาของเราคือ คนดูลดลง เราก็ต้องมั่นใจว่านั่นคือปัญหาของเราจริง ๆ ใช่หรือเปล่า

โน้ตที่ผมฝึกตามหาสาเหตุของปัญหาสำหรับบทความนี้

ถ้าคุณไม่รู้สึกว่า นั่นคือปัญหาของคุณ มันก็จะไม่ใช่ปัญหาของคุณ

เราเลยต้องตัดสินให้ได้ว่า อะไรคือปัญหาสำหรับเรา

เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรคือปัญหา การตามหาสาเหตุก็จะเกิดจากการตามหามูลด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว

จากโน้ตตัวอย่างข้างบน ตรงหัวข้อ สาเหตุ ผมไม่ได้คิดเองด้วย bias แต่ผมสังเกตจากข้อเท็จจริงทั้งนั้น ข้อเท็จจริงนี้ต่อให้ผมไม่ชอบใจ มันก็จะเป็นแบบนั้นอยู่ดี

เมื่อเราหาสาเหตุตามข้อเท็จจริง การสร้างเป้าหมายจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะ

เป้าหมายคือการทำให้สาเหตุหายไป

ถ้าหากสาเหตุคือ การลงผลงานไม่ต่อเนื่อง เราก็ต้องตั้งเป้าหมายว่า เราจะลงผลงานให้ต่อเนื่อง

ฟังดูกำปั้นทุบดิน แต่มันคือกำปั้นของ All might ที่ปล่อยท่า United state of Smash เลยล่ะครับ

United state of Smash ของ All might

สรุป

ผมเข้าใจครับว่ามันสำคัญมากในเรื่องของตัวเลขหลังบ้าน เพราะผมเป็นคนจริงจังที่ชอบดูตัวเลขหลังบ้านครับ

แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของความหนักใจหรือความคิดมาก ก็มักจะเกิดจากเลขหลังบ้านพวกนี้แหละฮะ

เพราะเราคาดหวังให้เลขมันสูงขึ้น เพราะเลขสูงขึ้นหมายถึงเรามาถูกทาง แต่ตัวเลขไม่สามารถวัดค่าความรู้สึกของคนได้ครับ

คนดูน้อยลง? คนดูเพิ่มขึ้น? สิ่งที่สำคัญของการมาเป็น Vtuber คืออะไร? คำถามพวกนี้จะยังมีต่อไปให้คนคิดมากได้คิดเสมอครับ

พวกเราเลยต้องตัดสินใจให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของพวกเรา และสิ่งสำคัญที่ Healthy จะต้องทำให้เราเติบโตครับ ไม่ใช่ฉุดรั้งเราลง

จะทำยังไงถ้าหากไม่มีช่องแชตมาคุยด้วยระหว่างไลฟ์?

คุณผู้อ่านที่เป็น Vtuber เคยเจอปัญหานี้มั้ยครับ? มาไลฟ์แล้วแต่ไม่มีใครเลยที่มาพิมพ์คุยด้วย ยังกะอยู่ในป่า ทั้งที่เราอยู่ในบ้านเราแท้ ๆ

ผมเองก็เคยเจอปัญหานี้เหมือนกันตอนที่ยังเป็น Vtuber กว่าผมจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่ได้เป็น Vtuber ไปแล้วครับ ถถถถ+

วันนี้ผมเลยอยากมาแชร์ความรู้ที่ผมมี เผื่อว่ามันอาจจะช่วยคุณผู้อ่านครับ

สาเหตุของการที่ไม่มีคนมาพิมพ์แชต

สาเหตุมันอาจมาจากการที่คุณผู้อ่าน

  1. ยังไม่มีคนรู้จักคุณ
  2. คนดูไม่รู้ว่าคุณทำอะไร
  3. คุณอาจคุยไม่สนุกสำหรับเขา

หลังจากไปเรียนการตลาดออนไลน์มา ผมได้รู้มาว่า การรู้จักลูกค้าถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เหมือนเราจะขายส้ม เราก็ต้องรู้ว่าคนแบบไหนที่ชอบกินส้ม เพื่อขายส้มได้ถูกที่และถูกเวลา อะไรทำนองนั้นครับ

คนดูไม่รู้จักคุณ

ก่อนอื่นเลยเราต้องตามหา Target audience ของตัวเองครับ

Target audience คือ กลุ่มเป้าหมายที่เราอยากไปขายสินค้าให้พวกเขา (ในที่นี้หมายถึงกลุ่มคนดู) ถ้าถามว่าเราต้องรู้จักพวกเขามากแค่ไหนถึงจะพอ? มันก็เหมือนกับถามว่า เราต้องมีเงินมากแค่ไหนถึงจะพอ คำตอบคือ ไม่พอ ครับ

คุณผู้อ่านสามารถไปหาคนที่ คิดว่า น่าจะเป็นลูกค้าของเราได้ จากการไปดูไลฟ์ของ Vtuber ที่ทำ content ที่เราอยากทำครับ

พอเลื่อนลงไปในช่อง comment คุณก็จะได้เจอกับกลุ่มลูกค้าในอนาคตของคุณแล้ว

พวกเขาอาจจะเป็นกลุ่มลูกค้าของคุณในอนาคตก็ได้นะครับ ถ้าหากไม่ศึกษาพวกเขาสักหน่อย คุณก็อาจจะไม่รู้เลยว่าต้องทำ content แบบไหนคนถึงจะดู และเราจะใช้แต่ สัญชาตญาณ อย่างเดียวไม่ได้นะครับ เราต้องใช้สลับกับการใช้ข้อมูล เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุด

เหมือนกับการเล่นเกมแนว Rouge-like ที่ผมชอบครับ ผมชอบทำ build แปลก ๆ ก็จริง แต่ build ที่ชนะเกมได้ครั้งแรกคือ build ที่ใช้ skill ทุกอย่างที่มี ไม่ใช่แค่ skill เดียวครับ

เมื่อคุณได้รู้จักกับ Target audience ของตัวเอง ไม่แน่ว่าคุณอาจสร้าง content ที่เข้าถึงจิตใจของพวกเขา จนสร้างฐานแฟนคลับที่เหนี่ยวแน่นก็ได้ครับ

คุณผู้อ่านคิดว่ายังไงครับ?

ถ้าหากไม่แน่ใจว่าเราจะหา Vtuber ได้จากไหน คุณผู้อ่านสามารถหาได้จาก #VtuberTH ได้เลยฮะ หรือถ้าอยากไปส่องตลาดต่างชาติก็ใช้ #Vtuber หรือ #VtuberEN ก็ได้ฮะ

คนดูไม่รู้ว่าคุณทำอะไร

ประเด็นต่อมาคือ การที่คุณทำเนื้อหาจับฉ่ายบ่อยเกินไปครับ

ผมรู้สึกว่าการทำเนื้อหาแบบนี้ มันทำให้คนดูไม่รู้ว่าเราทำอะไรกันแน่ เหมือนกับว่าคุณซื้อหนังสือที่ปกเขียนว่า “พัฒนาตัวเองด้วยกฎ 999 ประการ” แต่เนื้อหาคุยตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนถึงทฤษฎีสมคบคิด คือมันมีแต่เนื้อหาที่น่าสนใจครับ แต่พอเราพลิกไปดูหน้าปก เรายังร้อง เอ๊ะ เลยใช่มั้ยครับ?

การทำเนื้อหา (Content) จะอ้างอิงจาก Target audience ของเราครับ แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าเรา Values ของเราที่มีต่อ Target audience คืออะไร

พูดง่าย ๆ คือ เราอยากให้อะไรกับคนดู

คุณจะเข้าสู่กระบวนการสร้าง Personal Branding โดยไม่รู้ตัวเมื่อเริ่มตั้งคำถามพวกนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกับการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนในระยะยาวครับ

Personal branding คือการสร้างมุมมองที่คนอื่นมองมายังเราครับ และพวกเราคงไม่อยากสร้างชื่อเสียงแย่ ๆ ให้กับตัวเองใช่มั้ยครับ? ยกตัวอย่างเช่น ผมอยากให้ทุกคนมองว่า ผมทำร้านรับวาดโมเดล Pngtuber ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับ Vtuber ทุกคน

พูดง่าย ๆ ว่า อยากเป็นคนมีความรู้ครับ

คุณผู้อ่านคิดว่าผมต้องทำยังไงผมถึงจะดูมีความรู้หรอครับ?

อ่านหนังสือเยอะ ๆ และแชร์ความรู้ให้กับคุณผู้อ่านครับ

การสร้าง Personal branding ของผมก็จะเป็นไปในทำนองนี้ ลากยาวไปจนถึงการสร้าง content แบบอื่น ๆ

ผมแนะนำว่าให้คุณลองหาคุณค่าในตัวเองดูครับ

ส่วนตัวผมใช้การจดลงใน Notion แล้วก็ List เป็นข้อ ๆ ไป

จำเอาไว้นะครับ content เป็นแค่วิธีการที่ทำให้เราได้แสดงคุณค่าของเรา ถ้าคิดอย่างนี้ มันจะช่วยให้เราไม่จำกัดการทำ content ครับ

คนที่คุยไม่สนุก

ที่นี้เรามาคุยเรื่องสนุก ๆ กันมั้ยครับ?

เราจะทำยังไงให้เราคุยได้สนุกกับคนดูหรอ? ผมว่า ถ้าหากคุณได้ตามหาตัวเองจนสร้าง Personal branding ของตัวเองได้ คุณก็อาจจะมีเรื่องสนุก ๆ ในสายของตัวเองเยอะแยะแล้วครับ

แต่การคุยให้สนุกกับทำ content ให้สนุกอาจมีความแตกต่างกันบ้าง การคุยใช้กับตอนที่คุณพูดกับคนดู ส่วนการทำ content อาจไม่ได้คุยกับใครเลยก็ได้

เมื่อคุณได้สร้างตัวตนที่ชัดเจน ผมเชื่อว่าคุณอาจมีคนมาชอบตัวตนของคุณในฐานะของอะไรสักอย่าง เช่น Vtuber ที่คุยเรื่องการตั้งแคมป์ เป็นต้น

แต่อย่าลืมนะครับว่า คุณค่าหรือ Personal branding ของเรา ต้องมาจากความชอบส่วนตัวของเรา

ถ้าหากคุณไม่ enjoy กับสิ่งที่ทำ คนดูอาจรับรู้ก็ได้ครับ

ถ้าคุณได้ทำ content ที่คุณชอบจริง ๆ แล้ว ลองค้นหาใน #VtuberTH หรือ community อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ content ของคุณ เพื่อติดต่อขอ colllab กับคนที่ชอบอะไรเหมือนกันดูนะครับ!

ผมเชื่อว่า การได้คุยในสิ่งที่ตัวเอง enjoy มันจะมีรสชาติออกมาเอง จนทำให้คนดูที่ชอบอะไรเหมือนกันก็อยากมาร่วมคุยด้วยครับ!

การเป็นผู้นำที่ดีสำหรับ CEO ค่าย Vtuber ในปี 2025

วันนี้ผมได้เห็นข่าวและการประจาน (ขอใช้คำรุนแรงหน่อยนะครับ) ของ #ประธานค่ายวีโลกสองใบ ที่ดูเหมือนว่าหลายคนจะไม่ชอบใจกับพฤติกรรมของ (อดีต) CEO ท่านนี้

ผมเลยสงสัยว่า CEO ที่ดีควรจะมีอะไร เพื่อให้ทีมงานอยากทำงานด้วย วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันครับ!

Leadership ความเป็นผู้นำ

Leadership คือ ภาวะความเป็นผู้นำ ในตำแหน่งงานของ CEO มันคือทักษะที่จำเป็นโคตร ๆ ที่ต้องมีก่อนจะสร้างค่าย Vtuber ของตัวเอง

การที่ CEO จะนำคนอื่นได้  ตัวของเขาต้องนำตัวเองให้ได้ก่อน เช่น เขาสามารถรับผิดชอบงานของตัวเองได้มั้ย? เขาทำงานตรงเวลาหรือมาตามนัดหรือเปล่า? เขาบีบตัวเองให้มาทำงาน แม้ว่าจะไม่อยากทำได้มั้ย?

ในหลาย ๆ ครั้งเราจะเห็น CEO แบบนี้น้อยมากในวงการ #VtuberTH เพราะการนำตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนมี

และในมุมมองของคนที่ต้องแบกรับความคาดหวังและความฝันของทุกคนในทีม CEO คือคนที่ต้องนำตัวเองให้ได้เป็นคนแรก เพราะมันจะช่วยให้ CEO นำคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

CEO ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับค่ายของเขา ไม่ว่ามันจะเป็นเป้าหมายแบบไหน สิ่งที่ CEO เห็น จะต้องชัดเจนกว่าทีมงานเสมอ เขาจะต้องเป็นคนที่นำหน้าและเชื่อในเป้าหมายของค่ายมากที่สุด

การเดินไปตามเป้าหมายที่ดูจะยิ่งใหญ่แบบนั้นได้ แน่นอนว่า เป้าหมายมันต้องมีคุณค่ามากพอที่จะเดินตาม ถ้าหากเป้าหมายของ CEO คือการสร้างกำไรจากคนดู แต่ไม่คิดจะให้อะไรกับคนกลุ่มนั้น ผมรู้สึกว่ามันคือเป้าหมายที่ล้าสมัยมากในปี 2025

ในปัจจุบัน พวกเราเข้าใจแล้วว่า การทำงานที่มีคุณค่า มันทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี และพวกเราทุกคนอยากมีสุขภาพจิตที่ดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะ Gen Z และ Gen Y

CEO ต้องสร้างเป้าหมายที่มีคุณค่ามากพอ เพื่อดึงให้ทีมงานคนอื่น ๆ เชื่อและมีกำลังใจในการทำงาน และเป้าหมายที่มีคุณค่าส่วนใหญ่จะเป็นเป้าหมายเพื่อสังคม หรือเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้คุณค่าอะไรบางอย่างกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ตำแหน่งที่รับใช้ทีมงาน

ผมรู้สึกว่าตำแหน่ง CEO คือตำแหน่งที่ต้องแบกรับอะไรหลายอย่าง มันอาจฟังดูเท่ในชื่อตำแหน่ง แต่มันคือตำแหน่งขี้ข้าของทีมงานครับ

CEO ต้องช่วยให้ทีมงานทำงานได้อย่างไหลลื่น ไม่ติดขัดในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทีมงานแต่ละคนพาค่ายไปยังเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้

CEO คนไหนก็ตามที่คอยเอาแต่ชี้นิ้วสั่ง และไม่คิดจะรับฟังความคิดเห็นของทีมงานเลย CEO คนนั้นจะกลายเป็นที่โจษจันของในวงการเหมือน #ประธานค่ายวีโลกสองใบ ตอนนี้

พอผมพูดว่า CEO คือตำแหน่งที่ต้องแบกรับอะไรหลายอย่าง มันก็มีเหมือนกันที่คนไม่อยากจะใช้ชื่อตำแหน่งนี้โดยตรง เพราะมันคือการเอาหน้าของเราไปรับแรงกระแทก

แต่ผมอยากให้ CEO ที่มีความฝันและเป้าหมายแบกรับเอาไว้ครับ เพราะถ้าหากมันคือความฝันและเป้าหมายของคุณ คุณจะต้องเจ็บปวดกับมันเป็นคนแรก และต้องก้าวข้ามอุปสรรคเป็นคนแรก เพราะคุณคือผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม

หลายครั้งที่เราเห็นกันในดราม่าคือ CEO คือผู้เดินตามต้อย ๆ ไม่คิดจะมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองหรือคนในค่ายเลย

ความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ว่า CEO คนนั้นจะเดินตามหลังทีมงานตัวเองด้วยเหตุผลอะไร ภาพลักษณ์ก็ดูแย่ในสายตาผมแล้วฮะ

ผมอาจเป็นร้านเล็ก ๆ ที่ทำงานกันไม่กี่คน แต่ผมต้องเห็นในสิ่งที่ทีมงานของผมยังเห็นไม่ชัดก่อนเสมอ เป้าหมายของผมต้องชัดเจนและความฝันของผมต้องชัดเจนกว่าลูกจ้าง แบบนั้นผมถึงจะโดนเรียกว่า CEO

แม้ CEO ต้องคอยตามเช็ดทุกเรื่อง แต่เขาต้องมองให้ไกลกว่าทุกคนในทีม ต้องเข้าใจทุกคนในทีม ใครทำอะไรถนัด, คนนี้เหมาะกับงานแบบไหน, เวลาไหนที่ไม่ต้องตามงาน, เวลาไหนที่ต้องตามงาน หน้าที่ของ CEO จึงไม่ใช่แค่นั่งสั่งงานและเล่น Valorant ชิล ๆ แน่นอน

ความฝันและเป้าหมายที่ต้องมีก่อนคนอื่น

เพราะความเป็นผู้นำไม่ได้มีในทุกคน แต่ทุกคนที่เป็น CEO ต้องมีความเป็นผู้นำ

การเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเราต้องแบกรับชีวิตของคนอื่นด้วยแล้ว เราต้องยิ่งมีความฝันและเป้าหมายที่ชัดเจน

ผมเชื่อว่าสักครั้งในชีวิตของคุณผู้อ่าน เคยเจอคนที่มีความฝันและเป้าหมายที่ดูเจ๋งมาก ๆ และคงเคยคิดประมาณว่า “เจ๋งว่ะ” หรือไม่ก็ “ไอ้นี้เพ้อว่ะ”

ผู้นำไม่ใช่แค่ต้องมีความฝันและเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เขาต้องรู้ด้วยว่า วิธีการอะไรที่เขาจะไปถึงเป้าหมายได้ ถ้าหากมัวแต่ฝัน เราก็จะได้เจอ CEO ไม่ดีอีกรูปแบบคือ CEO ที่เพ้อไปเรื่อย

CEO ที่เพ้อไปเรื่อยคือ CEO ที่มีแต่ไอเดีย แต่ไม่รู้(และอาจไม่สนใจด้วยซ้ำ)ว่า เขาจะไปถึงเป้าหมายได้ยังไง เป็น CEO อีกประเภทที่ทีมงานไ่ม่ควรไปทำงานด้วย

ผู้นำต้องมีทั้ง เป้าหมายที่ชัดเจนและวิธีการที่สามารถไปถึงเป้าหมาย หรือถ้าหากไม่รู้วิธีการไปถึงเป้าหมายจริง ๆ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ต้องกล้าถามความเห็นจากทีมงาน หรือรับฟังความคิดที่เป็นประโยชน์จากทีมงานของตัวเอง

เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ เพราะงั้นมันเลยเกิดค่าย Vtuber ขึ้น ตำแหน่งผู้นำของค่ายจึงเป็นเหมือนกับการทำให้ความสามารถด้านต่าง ๆ เข้ามาผสานรวมกัน เพื่อทำให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ในตอนแรก

ผู้นำที่ดีจะไม่ให้งานที่เกินหน้าที่กับลูกจ้าง ทั้งยังรับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ของพวกเขาอย่างตั้งใจ ผมไม่ชอบใจที่มีคนทำให้ตำแหน่ง CEO ของค่าย Vtuber เป็นแค่ คนเล่นขายของ ที่ต่อให้เขาทำพังก็ไม่เป็นไร

ผมเลยอยากให้ Vtuber ทุกคนมีเป้าหมายในการมาทำงานตรงนี้ คุณจะตั้งเป้าหมายเพื่อมาเล่นสนุกก็ยังได้ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้คนดูรู้ว่าคุณเป็นคนแบบไหนและพวกเขาคาดหวังอะไรจากคุณได้บ้าง

สรุป

ทีมงานหลังบ้านรวมไปถึงคนที่อยากเป็น Vtuber มีความฝัน บางคนอยากเป็นคุณพ่อ คุณแม่ของ Vtuber หรืออยากผลักดันวงการ Vtuber เหมือนกับผม และมันน่าปวดใจที่มีค่ายหลอกมาทำงานแบบนี้เยอะมาก

พวกเขาที่มีความฝัน แค่ต้องการให้ตลาดนี้ดีขึ้น น่าอยู่มากขึ้น ไม่ใช่อยากให้มันพังเพราะเรื่องอะไรแบบนี้ ผมรู้ตัวเลยว่า ตอนที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ มันคือการระบายความโกรธของตัวเองต่อเหตุการณ์นี้ แต่ผมก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ถ้าหากคุณผู้อ่านไม่ชอบ ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ

พวกเราทีมงานเบื้องหลัง อยากทำงานให้กับคนที่มีความฝันและเป้าหมาย ไม่ใช่ทำงานเพื่อคนที่ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่พวกเราทำ

แด่ CEO ในอนาคตต่อจากนี้ ไม่ว่าคุณจะมีเงินในกระเป๋าตังค์มากแค่ไหน สิ่งที่ทีมงานหลังบ้านต้องการนอกจากเงินเดือนที่คุณจ่ายคือ การเป็นหัวหน้างานที่ดีให้กับพวกเขาครับ

เงินคือสิ่งที่ทำให้ค่าย Vtuber อยู่รอดในแง่ของการตลาด แต่ “คน” คือสิ่งที่ทำให้ตลาด Vtuber อยู่รอดในแง่ของผู้บริโภค

เปิดค่าย Vtuber ยังไงให้อยู่รอด

ถ้าปัญหาของ Vtuber คือการตามหาตัวเองยังไม่เจอ ปัญหาของการเปิดค่าย Vtuber ก็คงจะเป็น อายุขัยของค่าย Vtuber ที่อยู่ไม่นาน

สาเหตุของปัญหานี้คือ การบริหารและเป้าหมายของค่าย Vtuber ไม่ได้มีไว้เพื่อสังคมหรือผู้คนกลุ่มไหน

ผมไม่ได้บอกว่าให้เราทำค่ายการกุศล แต่เราต้องทำค่ายเพื่อให้กลุ่มลูกค้าดู (Target audience) เพราะถ้าทำจับฉ่าย มีหวังคนดูไม่รู้เลยว่าเราเป็นค่าย Vtuber แบบไหน

ผมอยากบอกว่า เป้าหมายที่ทำให้ค่าย ๆ หนึ่งอยู่ได้นาน มักจะมองถึงผู้คนในสังคมก่อน กำไรของค่ายเสมอ

วันนี้ผมเลยจะมาคุยเรื่อง การบริหารและการสร้างเป้าหมายที่มีไว้เพื่อสังคม สำหรับคนที่อยากเปิดค่าย Vtuber ครับ

สร้างเป้าหมายที่เกี่ยวกับการให้บางอย่างกับสังคม

คุณอยากให้อะไรกับสังคมครับ?

คุณอยากให้เสียงหัวเราะ เหมือนกับ Pixela Project หรืออยากสร้างงาน Production ที่ made in Thailand อย่าง ARP Project

ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายอะไร ถ้าหากเราเน้นในเรื่องที่เกี่ยวกับสังคม มันจะทำให้ค่ายของเราอยู่ได้นานมากขึ้นครับ

คุณผู้อ่านต้องตั้งคำถามว่า อะไรคือสิ่งที่ผู้ชมต้องการ และเราจะสามารถให้สิ่งนั้นกับพวกเขาได้หรือเปล่า ด้วยสิ่งที่เรามีตอนนี้

ผมอยากบอกว่า “การให้” เป็นเป้าหมายที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังที่สุดแล้วครับ

ให้ใช้เวลาเยอะ ๆ กับการตามหาเป้าหมายของค่าย คิดว่าการลงทุนแรกของค่าย Vtuber ของคุณคือ เวลาของคุณเองครับ

เรียนรู้การเป็นผู้นำที่ดี

ถ้าหากค่ายไปไม่รอด ส่วนหนึ่งมาจาก “ผู้นำ” ครับ

ถ้าคุณเข้าอกเข้าใจทีมงาน และไม่ได้เป็นแค่คนสั่งงาน แต่เป็นคนที่ช่วยเหลือทีมงานให้ทำงานง่ายขึ้น ทีมงานก็อยากทำงานกับคุณแล้วครับ

ผู้นำที่ดี = เข้าอกเข้าใจ + สื่อสารดี

ทักษะการเป็นผู้นำ ไม่ใช่แค่คนที่ทีมงานเรียกว่า “CEO” เท่านั้นที่ต้องมี แต่เป็นเรื่องของทีมงานทุกคนที่ต้องมีด้วย รวมถึง Vtuber ในค่าย

ถ้าหากคุณผู้อ่านยังอยู่ในวัยเรียนหรือวัยทำงาน การมีทักษะนี้ติดตัว จะช่วยให้ใช้ชีวิตการเรียนหรือการทำงานดีขึ้น เพื่อนก็อยากจะทำงานร่วมกับคุณผู้อ่าน งานอาจหนักขึ้นมาบ้าง แต่คุณผู้อ่านจะได้เรียนรู้ได้เยอะกว่าคนอื่น และสุดท้ายความรู้พวกนั้นจะเอาไปต่อยอดในงานอื่นต่อ ๆ ไป

บริหารคนในค่ายให้ Healthy

การบริหารคนให้ Healthy ไม่ใช่การบอกพวกเขาให้ออกกำลังกาย แต่คือการบริหารคนให้เหมาะสมกับงาน

แต่ละคนมีความสามารถที่หลากหลาย และมีความเก่งในแบบของตัวเอง ในงานของค่าย Vtuber จะมีหลายตำแหน่งที่ต้องให้พวกเขาช่วยเหลือครับ

อย่างเช่น ตำแหน่งนักวาด, ตำแหน่ง Rigger, ตำแหน่งเมเนเจอร์, ตำแหน่งตัดต่อ เป็นต้น ตำแหน่งพวกนี้จะเป็นตำแหน่งที่จะโดนเรียกหาอยู่บ่อย ๆ ในกลุ่ม Facebook

แต่ผู้บริหารจะคิดแค่ว่าตอนนี้กำลังขาดตำแหน่งอะไรอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคิดด้วยว่า ในตอนนี้เรามีอะไรและทำอะไรได้บ้าง เพื่อไปถึงเป้าหมายของค่าย

ปัญหาหนึ่งของการบริหารค่ายไม่ Healthy คือ การทำงานคอขวด ที่งานจะกระจุกอยู่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง และอีกหลายตำแหน่งไม่ได้ทำอะไรเลย

ปัญหานี้พ่วงมากับปัญหาการรับคนเข้ามาเยอะเกินกว่างานที่มีให้ ทำให้ทีมงานรู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ทำไม? เสียเวลาว่ะ

คำแนะนำของผมคือ รับคนเข้ามาไม่ต้องเยอะมากในตอนแรก ให้รับคนเท่ากับความจำเป็นของเรา ไม่ใช่ว่าต้องการแค่เพื่อนร่วมงานเยอะ ๆ อย่างเดียว

เมื่อรับคนเข้ามาแล้ว เราก็ต้องมีงานให้พวกเขา กำหนดเดดไลน์ และเงื่อนไขการทำงานให้ชัดเจน ถ้าหากว่าคุณผู้อ่านเป็นคนจริงจังเหมือนกับผม อาจทำให้ทีมงานรู้สึกเกร็ง ๆ ได้ในตอนแรก ก็อย่าลืมผ่อนคลายตัวเอง แสดงออกให้พวกเขาเห็นว่าคุณผู้อ่านก็มีด้านที่สบาย ๆ อยู่ด้วย แบบนี้จะเป็นเสน่ห์ครับ

สรุป

การบริหารค่าย Vtuber ให้อยู่ได้นาน ๆ เป็นเรื่องที่ต้องมีสามสิ่งนี้

  • เป้าหมายเพื่อสังคม
  • ความเป็นผู้นำ
  • การบริหารคน

เรื่องพวกนี้สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความหรือ Podcast หรือชั้นหนังสือพัฒนาตัวเองได้ครับ

ถ้าหากคุณมีสามสิ่งนี้ครบ ต่อให้คุณไม่ได้เปิดค่าย Vtuber คุณก็จะประสบความสำเร็จในการทำงานของคุณได้ในอนาคตครับ

สาเหตุที่ค่าย Vtuber ส่วนใหญ่ไม่รับเด็ก

สุขสันต์วันเด็กครับ! คิดถึงสมัยตอนที่ผมออกไปเดินตามห้าง เพราะจะได้ไปทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนเลยครับ

พอพูดถึงวัยเด็ก ผมคิดว่าผมเห็นคำถามนี้หลายครั้งมากในกลุ่มที่เกี่ยวกับ Vtuber คือ

เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 สามารถอยู่ในค่าย Vtuber ได้หรือไม่?

ถ้าว่ากันตามตรง ผมรู้สึกว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปเยอะมากเลยครับ (ฮา) การเป็น Vtuber คงเป็น Pop culture ไปแล้วในไทย

ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า ไม่ใช่ทุกค่ายที่รับคนอายุต่ำกว่า 18 เข้ามาเป็น Vtuber

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมายใช้แรงงานเด็กหรือวุฒิภาวะที่ยังไม่เหมาะสม มันก็เป็นเรื่องที่ผู้บริหารต้องเก็บมาคิดทั้งนั้น

ผมเลยอยากตอบคำถามนี้ว่า ค่ายใหญ่ ๆ คงไม่รับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ครับ

แต่การเป็น Vtuber เหมือนการเดินทาง (Journey) ครับ การเข้าไปในค่าย Vtuber ไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเดินทางเท่านั้นครับ

ต่อให้เป็นน้อง ๆ ที่อายุยังไม่ถึง 18 แต่ถ้ามีความฝันและมีไอเดีย ผมว่าน้อง ๆ ก็สามารถเป็น Vtuber อิสระ เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ครับ

สาเหตุที่ค่าย Vtuber ส่วนใหญ่ ไ่ม่รับเด็กต่ำกว่า 18 ผมว่ามีสาเหตุประมาณนี้ครับ

ไม่มั่นใจว่าจะมีความรับผิดชอบ

ผมเชื่อว่าน้อง ๆ หลายคนมีความรับผิดชอบในการส่งการบ้าน (ใช่มั้ยครับ?) แต่ทางผู้บริหารค่ายอาจไม่ได้คิดอย่างนั้นทุกคน

เรารู้กันว่า ถ้าหากน้องกำลังเรียนหนังสืออยู่ ก็ต้องมีงานมาแทรกจนไม่สามารถทำกิจกรรมของ Vtuber ได้

การที่น้องทำกิจกรรม Vtuber ไม่ได้ มันก็หมายถึง การลงทุนลงแรงของทีมงานหลังบ้านก็จะเสียเปล่า

และต่อให้น้องมีความรับผิดชอบมากพอที่จะทำหน้าที่นักเรียนและ Vtuber พร้อมกัน มันก็ไม่ได้การันตีว่าน้องจะทำมันได้ดีทั้งสองทาง และไม่แน่มันอาจทำให้น้องเครียดกว่าเดิมด้วย

ในอีกมุมหนึ่ง เรื่องส่วนใหญ่ที่ทีมงานเบื้องหลังมักบ่นคือ การที่ Vtuber ในค่ายไม่มีความรับผิดชอบ มันอาจไม่เกี่ยวกับอายุโดยตรงหรอกครับ แต่ส่วนใหญ่ก็มาจากการที่ Vtuber ท่านนั้นกำลังเรียนหนังสืออยู่

สำหรับผู้บริหารค่าย ผมรู้สึกว่าทุกคนมีความฝันที่อยากไปให้ถึง และในการเดินไปถึงเป้าหมายนั้น ทีมงานและ Vtuber ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบครับ

ถ้าหากน้อง ๆ มีความรับผิดชอบและจัดการหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ความสามารถระดับนี้ถือว่าจับหาตัวได้ยากมากครับ

กลัวว่าจะทำงานเป็นทีมไม่ได้

เมื่อน้อง ๆ เข้ามาเป็น Vtuber ในค่าย สิ่งที่ทีมงานหลังบ้านต้องการมากแบบ ก.ไก่ล้านตัว คือ น้องคุยกับพวกเขารู้เรื่อง

ผมหมายถึง เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นการวางแผนงานหรือการให้งาน น้องจะสามารถเข้าใจสิ่งที่ทีมงานสื่อและทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ หรือถ้าน้องติดขัดอะไรก็สามารถเข้าไปถามพวกเขาเพื่อแก้ปัญหาด้วยกัน

ส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหาคือ ทำงานเป็นทีมไม่ได้นี่แหละครับ

ปัญหานี้เกิดจากการที่ทั้งสองฝ่าย (ทีมงานหลังบ้าน, Vtuber) สื่อสารกันไม่ชัดเจน

ผมคงเตือนน้อง ๆ Vtuber ฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน ส่วนหนึ่งก็มาจาก ทีมงานหลังบ้านที่จัดการไม่ดี

แต่สำหรับทีมงานหลังบ้านที่สื่อสารชัดเจนและบริหารดี พวกเขาก็อยากให้ Vtuber ของพวกเขา เข้าใจว่าต้องทำอะไร และพวกเขาคาดหวังอะไรจาก Vtuber ท่านนั้น

ความคาดหวังที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ การมีความรับผิดชอบ

เมื่อไหร่ก็ตามที่ Vtuber บอกว่า “จะทำ” นั่นคือความรับผิดชอบของ Vtuber และถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา Vtuber ก็ต้องมาปรึกษากับทีมงานหลังบ้านเป็นคนแรก ๆ ไม่ใช่เก็บเงียบคนเดียว

การอยู่ในค่าย Vtuber มันไม่ได้มีอิสระหรือดูเจ๋ง แต่มันคือการทำงานในระดับที่จริงจังขึ้น

ไม่ใช่ทุกค่ายที่จะมีวัฒนธรรมเป็นบริษัททำงาน แต่ส่วนที่ทีมงานหลังบ้านต้องการเหมือน ๆ กันคือ ต้องการคนที่คุยรู้เรื่องและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง

ต่อให้น้องจะไปอยู่ในค่ายที่ Friendly ที่สุดในไทย ถ้าค่ายนั้นมีความฝันบางอย่างที่อยากไปให้ถึง น้องก็ต้องเจอกับความรับผิดชอบอยู่ดี

สรุป

อย่าลืมว่าการเป็น Vtuber คือการเดินทาง (Journey) และค่ายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเดินทาง ไม่ใช่เป้าหมาย

เมื่อน้องมีค่ายหรือเข้าไปในค่ายสักแห่งสำเร็จ การมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมถือเป็นมารยาทในสังคม

น้องจะทำตามใจตัวเองไม่ได้ น้องจะบอกว่า “ไม่อยากทำแหละ” โดยที่ทีมงานทุ่มแรงกายแรงใจให้น้อง ไม่ได้

ไม่ว่าน้องจะอยู่ในค่ายที่ Friendly แค่ไหน น้องก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อพวกเขาอยู่ดี

ถ้าหากที่ผมพูดไปมันดูจริงจัง ใช่ครับ มันจริงจัง

สาเหตุที่ค่ายใหญ่ ๆ ไม่รับเด็กต่ำกว่า 18 ก็คงเพราะว่า พวกเขามีความฝันแบบจริงจัง เลยไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเล่น ๆ อีกแล้วก็ได้ครับ

สาเหตุที่มาเป็น Vtuber เพราะหน้าตาไม่ดี จริง ๆ เหรอ?

เคยได้ยินประโยคพวกนี้มั้ยครับ?

“เพราะหน้าตาไม่ดี Vtuber เลยต้องปิดหน้าปิดตา”

หลายครั้งผมจะเห็นประโยคพวกนี้ออกมาจากพวก Haters ที่อยากทำลายความมั่นใจของ Vtuber

ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ ในการให้คำนิยามว่า หน้าตาไม่ดี หรือ หน้าตาดี ในยุคศตวรรษที่ 21

สาเหตุของการมาเป็น Vtuber ของแต่ละคนเองก็ไม่เหมือนกัน มันอาจจะจริงก็ได้นะ ที่บางคนอยากปิดหน้าตาของตัวเอง เพื่อจะแสดงความสามารถตัวเองได้ง่ายขึ้น

แต่การเหมารวมว่า Vtuber ทุกคนหน้าตาไม่ดี เลยมาเป็นตัวการ์ตูนขยับได้ มันก็ดูจะมีอคติเกินไปหน่อย

วันนี้ผมเลยอยากมาระบายความอัดอั้นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ

สาเหตุของการมาเป็น Vtuber

มันมีเรื่องจริงจากคำพูดของพวก Haters ว่าบางครั้งหน้าตามันทำให้เราไม่สามารถไปต่อได้ในสายงานหนึ่ง

แต่ Vtuber เป็นเรื่องของตัวตนและการนำเสนอ ไม่ต่างอะไรจาก YouTuber เพราะงั้นบาง Content ที่เราอยากนำเสนอ การเป็น Vtuber อาจเหมาะสมกว่า

ในตอนนี้ มี Vtuber เยอะแยะที่ออกมาโชว์ร่างกายบางส่วนของตัวเอง เพื่อบอกว่า ฉันไม่ได้มีร่างกายหรือหน้าตาที่พวก Haters บอก

บางคนอาจโชว์หน้าตาของตัวเองออกมา แล้วพบว่าพวกเขาหน้าตาดีมาก ๆ

อย่าลืมว่าการเป็น Vtuber มันเป็น Subset ของ Content Creator พวกเขาสามารถนำเสนอ Content ยังไงก็ได้ ตามแต่พวกเขาเห็นว่าสมควร

มันก็มีเหมือนกันที่ Vtuber บางคนยังเชื่อใน Traditional ของ Vtuber ที่ว่า Vtuber ต้องปกปิดความลับของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ผิดเลย

สิ่งที่ผมมองว่าผิดจริง ๆ คือการตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของตัวเอง จนไม่เห็นหัวอีกฝ่าย

ผมเคยเป็นคนวิจารณ์ Vtuber ผมอาจไม่ได้ด่า แต่ผมตัดสินด้วยมาตรฐานของตัวเอง โดยที่ไม่เข้าอกเข้าใจความลำบากของพวกเขาเลย

สำหรับคนดู ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจความลำบากอะไรมาก แต่สำหรับผมที่อยู่ในวงการ Vtuber เป็นทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้า การไปตัดสินแบบนั้น มันทุเรศมาก ๆ

ผมทำพลาดแล้ว และไม่อยากให้คนอื่นทำพลาดแบบนี้อีก การตัดสินคนอื่นแบบมุ่งทำร้ายอีกฝ่าย เป็นเครื่องสะท้อนของความอิจฉา

ไม่ว่าคุณผู้อ่านอยากเป็น Vtuber หรือ Pngtuber เพราะสาเหตุอะไร ผมขอร้องให้พวกคุณอย่าได้เอาคำของพวก Haters มาเก็บใส่ใจเลยนะครับ

คุณไม่จำเป็นต้องตอบกลับด้วยความรุนแรง เพราะยิ่งตอบกลับด้วยความรุนแรง คุณยิ่งดูไม่ดี และมันก็จะยืนยันแล้วว่าคุณเป็นแบบที่พวกเขาพูดจริง ๆ

ผมไม่ได้บอกว่า เราไม่ควรปกป้องตัวเอง นะครับ แต่ผมอยากให้คุณโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือ คนดูของพวกคุณ

วงการ Vtuber มีเรื่องน่าปวดหัวและเรื่องที่น่าสนใจอีกเยอะครับ พวกเราสามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้ในวงการนี้ อย่าให้คนบางคนที่ไม่ชอบหน้าคุณมาหยุดคุณได้เลยครับ

สรุป

มันมีหลากหลายเหตุผลในการเป็น Vtuber มากกว่าแค่เพราะพวกเขาหน้าตาไม่ดี

สิ่งที่สำคัญในการมาเป็น Vtuber คือการมีเป้าหมายและตัวตนที่ชัดเจน และถ้าหากเป็นไปได้ว่า เป้าหมายของคุณเกี่ยวกับการให้บางสิ่งกับผู้คน ยิ่งดีเลยครับ

มันมีเรื่องน่าปวดหัวและเรื่องน่าสนใจในวงการ Vtuber อีกเยอะ การที่คุณผู้อ่านยังเป็นตัวเองได้ จะทำให้คุณยังมีความสุขในการเป็น Vtuber ครับ

ประสบการณ์การเป็น Vtuber ของผม

ผมเคยเป็น Vtuber และมันสอนอะไรหลายอย่างให้กับผมครับ

ผมคิดว่าผมชอบประสบการณ์พวกนั้นนะ แต่ประสบการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นทุกคน

บางคนอาจเจอเรื่องที่แย่กว่าที่ผมเจอ แล้วมองว่า Vtuber นี่มันห่วยแตกและไม่น่าเข้าไปสิง

ผมเลยอยากมาเล่าประสบการณ์ของผม เพื่อให้คนที่อยากเป็น Vtuber ในอนาคตได้เก็บไปคิดครับ

Perfect ไม่มีอยู่จริง

มันไม่มีคำว่า Perfect ถ้าคุณทำอะไรสักอย่างครั้งแรก

คุณผู้อ่านเคยคิดมั้ยว่า เราอาจทำมันได้ดีมาก ๆ ผมเคยคิดแบบนั้น แล้วก็เชื่อจริง ๆ ว่าเราจะเหนือกว่าคนอื่น ทั้งในด้านการนำเสนอและ Content แต่ผมตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย

มันก็มีบ้างแหละครับที่มีคนชอบ แต่กว่าผมจะมีแฟนคลับแบบนั้นได้ ก็ใช้เวลากว่า 6 เดือน

ความเชื่ออย่างหนึ่งของพวกเราคือ ทุกอย่างมันต้อง Perfect ก่อน เราถึงจะลงมือทำ แต่มันไม่มีวันนั้นหรอกครับ

มันไม่มีวันที่เราจะ Perfect ทุกอย่าง และไม่มีวันที่เราจะทำในสิ่งที่ไม่ได้ฝึกได้ดีในวันแรก

ต่อให้มีพรสวรรค์มันก็ส่งเราไปได้ไม่นาน สุดท้ายมันคือการฝึกและการตามหาเป้าหมายของการมาเป็น Vtuber ของเรา

ถ้ามันจะไม่มีวัน Perfect ก็แค่ทำมันตอนนี้แล้ว รีบเจ็บ รีบเรียนรู้ก็พอ

ยังเดินเพื่อไปถึงเป้าหมายอยู่

ผมมีเป้าหมายคือการให้ความรู้กับคนอื่นครับ

มันเป็นเป้าหมายตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่มันต่างกันตรงที่ ตอนนี้ผมให้ความรู้และลด Ego ของตัวเองลง

แต่ก่อนผมให้ความรู้กับคนอื่น เพื่อให้ผมรู้สึกว่าผมอยู่เหนือกว่าเขาครับ

มันฟังดูตลกและดูแย่มาก ๆ ที่การให้ความรู้ดูจะเป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีศีลธรรมสูงขึ้น

แต่ผมยึดติดศีลธรรมมากเกินไป จนมันทำให้คู่หูของผมต้องออกมาเตือนเรื่องนี้เรื่อย ๆ

สุดท้ายผมได้รู้แล้วว่า สาเหตุที่ผมให้ความรู้ เพราะผมอยากมีศีลธรรมเหนือกว่าคนอื่น ภาษาพุทธเรียกว่า สีลัพตปรามาศ หรือก็คือ ยึดมั่นในคุณธรรมหรือความดีของตัวเอง จนคิดว่าเราเหนือกว่าคนอื่น

เป้าหมายของผมในตอนนี้เลยปรับเปลี่ยนให้ผมเป็นคนใหม่ เพราะรากเดิมของเป้าหมายนี้ มาจากตัวตนของผมจริง ๆ

เป้าหมายยังเหมือนเดิม แต่วิธีการเดินต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะผมไม่ Perfect และต้องทำพลาดเยอะ ๆ เพื่อเรียนรู้ให้ดีขึ้น มันเลยเป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดครับ

สำหรับคนที่อยากเป็น Vtuber ในอนาคต ผมอยากแนะนำให้คุณเริ่มทำมัน ไม่ว่าคุณจะพร้อมหรือไม่

เรียนในสิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวเอง ลงทุนกับสิ่งที่สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ผมเชื่อว่าคุณจะตามหามันเจอครับ 🙂