บริการของเรา

ช่วยคุณให้เป็น Vtuber ที่น่าสนใจ

ออกแบบโมเดล
ออกแบบโมเดล

ออกแบบโมเดลที่แสดงความเป็นคุณออกมา

วาดโมเดลสำหรับ Vtuber และ Pngtuber
วาดโมเดลสำหรับ Vtuber และ Pngtuber

วาดโมเดลของคุณให้พร้อมไปใช้งานต่อในโปรแกรม Live2D

ที่ปรึกษาด้านการทำ Vtuber
ที่ปรึกษาด้านการทำ Vtuber

จากประสบการณ์ 3 ปีของการอยู่ในวงการ Vtuber เราพร้อมแบ่งปันความรู้ให้คุณได้เติบโตในเส้นทางของตัวเอง

Blogs

บทความพัฒนาตัวเอง เพื่อ Vtuber

Story telling จะช่วยให้คุณเป็น Vtuber ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

คุณดู Vtuber เพราะอะไรเหรอครับ?

ถ้าหากคุณถามผม ผมจะตอบว่า ผมดูเพราะ Free talk ครับ

หลายครั้งเราจะเห็น Vtuber ทำ content หลากหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือ Free talk ครับ ว่ากันตามตรง หลายคนบอกว่า ทำ Free talk ง่ายกว่าการทำ content แนวอื่น แต่เรื่องนั้นไม่จริงเลยครับ

สำหรับผม ผมจะติดตาม Vtuber หรือ content creator ท่านไหน ผมจะดูที่เขาเล่าเรื่อง (Story telling) ผ่าน content ที่เขาทำ วันนี้ผมเลยจะมาคุยเรื่องนี้กันครับ!

นัก Free talk และ นัก Story telling

เรามาทำความรู้จักกับ Free talk กันก่อนดีกว่าครับ

Free talk คือ content รูปแบบหนึ่งที่ Vtuber สามารถคุยเรื่องอะไรก็ได้กับคนดูหรือคนที่มา collab ด้วย

คุณคิดว่าคุณเป็นคนเล่าเรื่องเก่งมั้ยครับ?

บางคนอาจตอบผมว่า “ไม่ได้เก่งเลยสักนิด เพราะงั้นฉันเลยเลือก Free talk เพื่อหาคนอื่นชวนฉันคุย” แต่ถ้าคุณไม่มีคนคุยด้วย คุณจะทำยังไงครับ?

ผมเคยเป็น Vtuber ที่เน้นทำ content Free talk ครับ เพราะคอมพิวเตอร์ผมไม่สามารถเล่นเกมและไลฟ์สตรีมได้

ปัญหาของ Vtuber ที่ทำ Free talk (รวมถึงผมในตอนนี้ด้วย) คือ การไม่เตรียมเรื่องเล่า กรณีที่ไม่มีคนคุยด้วย หรือแม้กระทั่ง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราถนัดคุยเรื่องอะไร

ผมมารู้ทีหลังว่า ต่อให้เป็น Free talk ที่คุยอะไรก็ได้ เราก็ต้องมี “เรื่อง” ในหัวก่อน

มันอาจเป็นเหตุการณ์ที่คุณเจอในเช้าวันนี้ก็ได้ แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ๆ อย่างการไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง แต่เราอยากเล่าเรื่องนี้ในไลฟ์ Free talk โจทย์ของพวกเราคือ เราจะเล่าออกมายังไงให้คนดูอยากฟัง?

ทางแก้คือ Story telling ครับ

คุณจำเรื่องผีที่มีคนมาเล่าให้คุณฟังได้มั้ยครับ? คุณสงสัยมั้ยว่าทำไมคุณถึงตั้งใจฟังเขา?

เหตุผลอาจเป็นเพราะคุณชอบเรื่องลี้ลับ แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากการ เล่าเรื่องของเขาครับ

Story telling คือ ทักษะการเล่าเรื่อง ครับ

คุณจินตนาการออกมั้ยครับว่า คนที่เล่าเรื่องผีไม่ได้เรื่องเป็นคนยังไง? เขาคงเป็นคนที่ไม่รู้ว่าฉากไหนคือฉาก Climax หรือบทคำพูดนี้จะสร้าง impact กับคนฟังยังไง

สรุปง่าย ๆ คือ คนที่เล่าเรื่องผีไม่ได้เรื่องคือ คนที่ไม่ทำให้เราเห็นภาพครับ

Story telling เป็นเรื่องของการทำให้สารที่ต้องการจะสื่อ ออกมาเป็นภาพที่เห็นแล้วเข้าใจง่าย

หลักการพื้นฐานของ Story telling คือ

  • Plot
  • Character
  • Conflict
  • Resolution

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ผมพยายามทำให้บทความต่อ ๆ ไปของผมใช้ทักษะ Story telling มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนอกจากมันทำให้คุณอยากอ่านบทความของผมแล้ว มันคือทักษะแห่งปี 2025 ที่มีเพื่อ content creator อย่างพวกเราครับ

Plot

Plot คือ เนื้อหา, ฉากและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เราต้องการนำเสนอ จินตนาการถึงหนังที่คุณชอบดูครับ ผมเชื่อว่าสาเหตุที่คุณชอบหนังเรื่องนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก Plot ของหนัง เราอาจเรียกว่าเป็นเหมือน แผนที่ ที่เราวาดไว้เพื่อกำกับอารมณ์ของคนดูก็ได้ครับ

ตัวอย่างที่ผมทำคือ บทความนี้ครับ 

ผมเริ่มจาก

  • อธิบายความหมาย Free talk
  • Key massage (ความยากในการทำ Free talk)
  • Resolution (วิธีการทำให้ Free talk น่าสนใจ)

มันอาจเป็นแค่โครงคร่าว ๆ ที่ทำให้ผมเข้าใจว่าผมอยากเล่าเรื่องอะไร แต่การสร้างโครงเรื่องอันนี้จะทำให้เราไม่ออกนอกลู่นอกทางครับ และการออกนอกลู่นอกทาง ทำให้คนอ่านเสียเวลา

การทำให้คนอ่านเสียเวลา เป็นเรื่องที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่นัก

Character

Character คือ ตัวละครที่มาเป็นตัวเอกของเรื่อง ที่ถ้าหากไม่มีเขา Plot ก็จะไม่ดำเนินต่อ

อย่างในบทความนี้ ผมใช้ตัวเองเป็น Character เพราะผมเล่าเรื่องของตัวเองครับ

ผมต้องอธิบาย Character ว่าทำไมผมถึงต้องมาเล่าหรือเขียนบทความนี้ ผมอธิบายไปว่า “ผมเคยเป็น Vtuber ที่เน้นทำ content Free talk มาก่อน” มันจะทำให้คนฟังเชื่อว่า ผมมีความรู้เรื่องนี้จริง ๆ นะ มันคือการสร้าง Relationship กับคนฟังครับ

ผมชอบหนังที่ผมผูกพันธ์กับตัวละคร แต่ผมจะผูกพันธ์กับตัวละครนั้นได้ ผมต้องรู้จักเขาก่อนทั้ง นิสัย, ความคิด, เป้าหมาย อาจไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายเว่อวัง แต่ผมแค่อยากรู้ว่าตัวละครนี้ทำไมถึงมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ได้เท่านั้นเอง

Conflict

Conflict คือ ปัญหาที่ Character เจอ

คุณคิดว่าหนังที่ไม่มีอุปสรรคเลย จะเป็นหนังที่ดีหรือเปล่าครับ?

ผมชอบหนังที่ตัวเอกต้องเจอกับอุปสรรค ไม่ใช่เพราะผมซาดิสม์นะครับ (ฮา) แต่เพราะผมชอบอารมณ์ตอนที่ตัวเอกผ่านอุปสรรคไปได้ครับ

พวกเราจะรู้สึกดีไปด้วย เหมือนกับว่าพวกเรากับตัวเอกผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน เพราะงั้นหนังที่ดี เลยจำเป็นต้องมีอุปสรรค เพราะคนดูชอบอารมณ์ของการก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ครับ

ยิ่งอุปสรรคนั้นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยความดิ้นรนเพื่อการมีชีวิต มนุษย์จะทำทุกวิถีทางเพื่อผ่านอุปสรรคครับ พวกเรารู้สึกและเข้าใจอารมณ์นั้นไม่มากก็น้อยในชีวิตของเรา

ความรู้สึกสับสนตอนที่ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรดีของผม อาจเป็นปัญหาเหมือนกับของใครบางคน การมีปัญหาร่วมกันและเข้าใจถึงความรู้สึกนั้น จะทำให้คนฟังอยากฟังเราต่อครับ

Resolution

Resolution คือ ทางออกของ Conflict

อย่างที่บอก คนเราไม่ได้ชอบ Conflict แต่เราชอบความรู้สึกตอนที่เราก้าวข้าม Conflict ไปได้

ถ้าหากหนังผูกปมเอาไว้ และในตอนจบไม่คลายปมอะไรเลย เป็นผม ผมด่าหนังเรื่องนั้นแล้วครับ

Resolution อาจจะไม่ได้แก้ปัญหาให้กับคนฟังก็จริง แต่มันคือการแก้ปัญหาให้กับ Character ครับ

คุณเคยเจอเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัด แต่ในตอนสุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีหรือเปล่าครับ?

ถ้าคุณเคยเจอ คุณจะเข้าใจความรู้สึกของ Character ดีว่ามันวิเศษแค่ไหน

ส่วนใหญ่ Resolution จะมาในตอนท้ายของเรื่องครับ ไม่ค่อยโผล่มาในตอนกลางเรื่องหรือตอนต้นเรื่อง

อย่างในบทความนี้ ผมเล่าถึงความความทุกข์ใจร่วมกันก่อน จากนั้นผมค่อยเติมทางแก้ของผมลงไป (นั่นคือ Story telling แก้ปัญหาว่าผมจะเล่าเรื่องยังไงให้น่าฟัง)

สรุป

Story telling เป็นทักษะที่ทำให้คุณเป็น Vtuber ที่ดีขึ้นได้ ก็เพราะมันทำให้คุณมีคนอยากฟังคุณ

ต่อให้คุณมีเรื่องที่น่าสนใจแค่ไหน แต่ถ้าคุณเล่าออกมาแล้วไม่มีคนฟัง มันก็เท่านั้น

คุณสามารถเปลี่ยนเรื่องธรรมดาให้น่าสนใจได้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ทุกคนเคยเจอแล้วก็ตาม

ทักษะ Story telling ไม่ได้จำเป็นแค่ในฐานะ Vtuber แต่มันคือทักษะของมนุษย์ที่สืบทอดต่อกันมา

พวกเรามีชีวิต, มีความเชื่อ, มีวัฒนธรรมได้ก็เพราะ Story telling

ทำไมยอดคนดูลดลง?
จุดเริ่มต้นของ Vtuber หลายท่านคือ การเดบิ้วท์ (Debut)

คุณจำได้หรือเปล่าครับว่า คนดูไลฟ์เดบิ้วท์แรกของคุณมีจำนวนเท่าไหร่? แล้วตอนนี้มีคนดูคุณอยู่เท่าไหร่?

พวกเราสงสัยว่า ทำไมยอดคนดูในตอนแรกถึงมากกว่าตอนที่เราไลฟ์ปกติ ผมเองก็สงสัย เลยอยากมานั่งคุยเรื่องนี้ครับ!

จุดเริ่มต้นของฉันคือการเดบิ้วท์

การเดบิ้วท์เป็นเหมือนกับวัฒนธรรมหลักของ Vtuber ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศไหนก็ตาม

จากในตอนแรก Vtuber ถูกมองว่าเป็นเหมือนกับ Idol บนเวที จนถึงปัจจุบันที่ Vtuber อาจเป็นเหมือนกับเพื่อนคุยระหว่างทำงานที่บ้าน การเดบิ้วท์ก็ยังคงเห็นได้ในปัจจุบัน

การเดบิ้วท์มีประโยชน์ในแง่ของการสร้างรากฐานของคาแรกเตอร์ Vtuber และการสร้างฐานแฟนคลับของช่อง

เพราะแบบนั้นเลยทำให้ Vtuber หลายท่านเลือกจะเดบิ้วท์กัน นอกจากที่มันคือ Industry standard มันสร้างตัวตนและแฟนคลับให้มีรากฐานที่แข็งแรงอีกด้วย

ก็มีบ้างแหละครับที่มี Vtuber ที่ไม่ได้อยากเดบิ้วท์ แต่จุดเริ่มต้นของพวกเขาก็จะมีเหมือนกันคือ การสร้างตัวตนและแฟนคลับให้แข็งแรง แค่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการเดบิ้วท์

เมื่อเป็นแบบนั้น Vtuber ที่มีทีมงาน ที่เห็นถึงความสำคัญนี้ จึงมีการเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดี พวกเขาวางแผนว่าจะทำให้ไลฟ์เดบิ้วท์แรกออกมาดีที่สุดยังไง

สำหรับผมในตอนที่เดบิ้วท์ครั้งแรก ผมเก็บความตื่นเต้นด้วยการทำตัวให้รู้สึกปกติที่สุด ผมมีแผนและการเตรียมตัวเพราะผมและทีมงานรู้ว่ามันคือเรื่องสำคัญ

เราอาจเห็นว่าไลฟ์เดบิ้วท์มีการจัดวางแผนผังการนำเสนอที่ตายตัว ตั้งแต่ แนะนำตัวเอง, บอกสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ, เป้าหมาย และขอบคุณทีมงาน

ไลฟ์เดบิ้วท์แรกเลยเป็นเหมือนกับ Awareness ใน Marketing funnel ที่ตามหาคนที่ชอบอะไรเหมือนกันกับ Vtuber ท่านนั้น

และตามหลัก Marketing funnel มันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่จะมีคนดูเยอะ เพราะมันคือ การทำให้คนเห็นว่า ฉันคือ Vtuber นะ พวกเธอสนใจฉันหรือเปล่า?

คนดูที่เริ่มลดลง

เมื่อผ่านไปนานวัน คนดูจะเริ่มลดลงจนน่าวิตก จากคนดูหลักร้อยอาจลดเหลือหลักสิบ หรือคนดูหลักสิบลดลงเหลือหลักหน่วย

คำถามในหัวของพวกเราคือ เราทำอะไรผิดวะ?

เราเดินเกมพลาดตรงไหน? เราทำอะไรไม่ถูกใจหรือเปล่า? โมเดลเราไม่สวยพอเหรอ?

การลดลงของคนดูสร้างความกังวลให้ Vtuber มากครับ จนบางทีเราอาจไปโทษสิ่งอื่น เพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น เช่น โทษสังคมว่า เพราะมี Vtuber ผุดเป็นดอกเห็ด คนเลยไม่มาสนใจฉัน อะไรทำนองนั้นครับ (ผมก็เป็น)

พวกเราบางคนอาจผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างสวยงาม สวยงามที่ว่าคือ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไรที่คนดูจะลดลง เพราะตัวเขาก็ยังทำในสิ่งที่ตัวเขารักอยู่เหมือนเดิม

 

“แต่ฉันก็รักในการเป็น Vtuber นะ!” Vtuber บางท่านได้ตะโกนออกมาจากฝูงชน

จริงครับ ที่คุณรักในการเป็น Vtuber คุณเลยมาเป็น Vtuber แต่การทำในสิ่งที่รัก ไม่เคยบอกว่าคุณจะได้ดิบได้ดีตลอดเวลาที่คุณทำ มันแค่ทำให้คุณทำมันบ่อยขึ้นโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น

อาการ Burn out และอาการคิดมาก เริ่มมาหาเราบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ พวกเราจะเห็นว่ามี Vtuber ที่ประกาศจบการศึกษาไปไม่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งคนที่มีชื่อเสียงไปจนถึง Vtuber ที่มาเป็น Vtuber ได้ไม่ถึง 6 เดือน

มันคือการต่อสู้ดิ้นรนหรือเปล่าในการอยู่ที่นี้? มันคืออีกหนึ่งคำถามที่ถามตัวเองระหว่างที่นั่งกอดเข่าในห้องนอน หลังจากเลิกไลฟ์สตรีม เพราะมีคนดูเท่ากับ 0 คน

ความสับสนที่มากขึ้น

คุณสงสัยมั้ยครับว่า ถ้า Vtuber จบการศึกษาไป พวกเขาจะทำอะไรต่อ?

คำตอบคือ กลับไปใช้ชีวิตในฐานะคนทั่วไปครับ

Vtuber เป็นเหมือนกับโลกอีกใบ ตัวตนอีกแบบ ที่พวกเราอาจสร้างขึ้นเพื่อหนีออกจากโลกความจริงที่โหดร้าย

พวกเราทุกคนมีปัญหาในโลกคนทั่วไป บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก หรือบางคนไม่สามารถเข้ากับคนอื่นได้เลย

การสร้างตัวตน Vtuber อาจจะมีมากกว่าแค่ต้องการการยอมรับ แต่มันอาจหมายถึงทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ก็ได้

คุณเคยได้ยินคำที่ว่า ความรู้สึกอับอายมันก็ไม่ต่างจากความตาย หรือเปล่าครับ?

ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ผมอยากมีคนมายอมรับในตัวผม เพราะผมรู้สึกอายที่ตัวเองไร้ค่าครับ ความรู้สึกอับอายมันก็ไม่ต่างจากการที่ผมตายทั้งเป็น

คนเรารู้สึกอับอายไม่เหมือนกันครับ แต่เรารู้ว่า ความรู้สึกของการตายทั้งเป็นมันเป็นยังไง

เมื่อผมกลับไปใช้ชีวิตในฐานะคนทั่วไป ผมรู้สึกว่าผมต้องกลับมาเจอกับความจริงที่น่าอายของผม เจอกับความจริงที่เราอ่อนแอแล้วเราก็แพ้ไปในตลาด Vtuber

อาจแตกต่างนิดหน่อยตรงที่ ผมเลือกออกจากการเป็น Vtuber เพราะผมรู้ว่าผมอยากไปทำงานด้านอื่นต่อ แต่ผมต้องผ่านความจริงที่ว่า

ก็ถ้าหากเรามีคนดูเยอะแต่แรก เราก็คงไม่เลิกง่าย ๆ แบบนี้หรอก

ตอนที่ผมออกมาเพื่อเดินตามทางของตัวเอง ทางในโลกคนทั่วไปมันก็ดูน่ากลัวจริง ๆ ครับ ผมไม่รู้เลยว่าจะเดินไปทางในต่อดี ในอายุที่เกือบจะ 25 ปี

บางทีมันอาจเป็นแบบนั้นมาตลอด เป็นแบบที่ว่า ถ้าคุณไม่เจ๋งพอในวงการนี้ พยายามให้ตายคุณก็จะไม่ประสบความสำเร็จ มันน่าอับอายสำหรับผมที่ผมไม่ผ่านบททดสอบนี้ครับ

มันโอเคที่จะสับสน และมันโอเคที่คนดูน้อยลง

หลังจากผ่านมรสุมชีวิต ผมได้เข้าใจแล้วว่า มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่คนดูจะลดลง ถ้าว่ากันตามหลัก Marketing funnel คือ:

  1. Awareness
  2. Consideration
  3. Conversion
  4. Loyalty

What Is a Marketing Funnel: Stages & Targeting Strategies

ขอบคุณภาพจาก Semrush

อย่างที่เห็นว่ามันคือ กรวยคัดกรอง

พูดง่าย ๆ ว่า การเดบิ้วท์มีไว้เพื่อกรองคนที่น่าจะชอบเรา นั่นเอง

พวกเรารู้ว่าในโลกนี้ ไม่มีทางที่ทุกคนจะชอบเรา ผมคิดว่างานเขียนหรือฝีปากผม ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบ แต่มันจะต้องมีคนที่ชอบในงานเขียนหรือฝีปากผมสักคนแน่นอน

วงการ Vtuber ก็เหมือนกันครับ ในท้ายที่สุดที่เรากลั่นออกมาจนเหลือคนดูที่ชอบเราจริง ๆ ปริมาณต้องน้อยกว่าในตอนไลฟ์เดบิ้วท์เสมอ

นี่เป็นแค่หลักการทางวิชาการตลาด แต่ปัญหาจริง ๆ ที่ทำให้เราทุกข์มาจากภายในใจของเราเอง

การรับมือกับความทุกข์ของเราคือ Skill ที่ Vtuber ต้องมี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ค่ายหรือกลุ่ม Vtuber มักจะรับคนที่อายุมากกว่า 18 เพราะเชื่อว่า คนคนนั้นจะมีวิธีรับมือแล้ว

แต่อายุไม่เกี่ยวข้องกับการรู้วิธีรับมือ มันก็เหมือนกับว่าคุณอายุจวนจะ 35 แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรู้วิธีการทำกับข้าว ทั้งที่คุณอาจรู้หรือไม่รู้ว่า การทำกับข้าวเป็น มันเจ๋งแค่ไหน

อายุเลยไม่เกี่ยวว่าคุณมีวิธีรับมือหรือเปล่า ต่อให้คุณอายุน้อย ถ้าคุณรู้ว่าเวลาตัวเองเจอความทุกข์ เราจะทำยังไง แบบนั้นคุณก็มีวิธีการรับมือความทุกข์แล้ว

บางคนอาจแก้ด้วยการกินของอร่อย บางคนอาจแก้ด้วยการนั่งสมาธิ บางคนอาจแก้ด้วยการร้องเพลง พวกเรามีหลากหลายวิธีในการแก้ความทุกข์ในใจครับ

คำแนะนำของผมมันอาจดูศาสนาพุทธสักหน่อย แต่ผมก็อยากให้คุณลองเอาไปใช้ดูครับ

ผมแนะนำว่า ให้คุณรู้ปัญหาและแก้ที่สาเหตุครับ

ถ้าหากปัญหาของเราคือ คนดูลดลง เราก็ต้องมั่นใจว่านั่นคือปัญหาของเราจริง ๆ ใช่หรือเปล่า

โน้ตที่ผมฝึกตามหาสาเหตุของปัญหาสำหรับบทความนี้

ถ้าคุณไม่รู้สึกว่า นั่นคือปัญหาของคุณ มันก็จะไม่ใช่ปัญหาของคุณ

เราเลยต้องตัดสินให้ได้ว่า อะไรคือปัญหาสำหรับเรา

เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรคือปัญหา การตามหาสาเหตุก็จะเกิดจากการตามหามูลด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว

จากโน้ตตัวอย่างข้างบน ตรงหัวข้อ สาเหตุ ผมไม่ได้คิดเองด้วย bias แต่ผมสังเกตจากข้อเท็จจริงทั้งนั้น ข้อเท็จจริงนี้ต่อให้ผมไม่ชอบใจ มันก็จะเป็นแบบนั้นอยู่ดี

เมื่อเราหาสาเหตุตามข้อเท็จจริง การสร้างเป้าหมายจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะ

เป้าหมายคือการทำให้สาเหตุหายไป

ถ้าหากสาเหตุคือ การลงผลงานไม่ต่อเนื่อง เราก็ต้องตั้งเป้าหมายว่า เราจะลงผลงานให้ต่อเนื่อง

ฟังดูกำปั้นทุบดิน แต่มันคือกำปั้นของ All might ที่ปล่อยท่า United state of Smash เลยล่ะครับ

United state of Smash ของ All might

สรุป

ผมเข้าใจครับว่ามันสำคัญมากในเรื่องของตัวเลขหลังบ้าน เพราะผมเป็นคนจริงจังที่ชอบดูตัวเลขหลังบ้านครับ

แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของความหนักใจหรือความคิดมาก ก็มักจะเกิดจากเลขหลังบ้านพวกนี้แหละฮะ

เพราะเราคาดหวังให้เลขมันสูงขึ้น เพราะเลขสูงขึ้นหมายถึงเรามาถูกทาง แต่ตัวเลขไม่สามารถวัดค่าความรู้สึกของคนได้ครับ

คนดูน้อยลง? คนดูเพิ่มขึ้น? สิ่งที่สำคัญของการมาเป็น Vtuber คืออะไร? คำถามพวกนี้จะยังมีต่อไปให้คนคิดมากได้คิดเสมอครับ

พวกเราเลยต้องตัดสินใจให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของพวกเรา และสิ่งสำคัญที่ Healthy จะต้องทำให้เราเติบโตครับ ไม่ใช่ฉุดรั้งเราลง

“การเปิดเงา” ยังใช้ได้ผลในปี 2025 จริง ๆ เหรอ?

สังคม Vtuber รู้จักกับ “การเปิดเงา” มานานมาก น่าจะเรียกได้ว่ามันอยู่คู่กับเราเหมือนกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของ Vtuber เลยก็ได้

แต่ในปี 2025 การเปิดเงา มันจะยังได้ผลอยู่หรือเปล่า? วันนี้ผมจะมาชวนคุยเรื่องนี้กันครับ!

ทำความรู้จักกับ การตลาดเปิดเงา Reveal Marketing

การตลาดเปิดเงา หรือ Reveal marketing คือ การตลาดที่กระตุ้นให้คนดูอยากจะเห็นหน้า Vtuber เร็ว ๆ ผ่านการโพสต์ปิดบังโมเดลด้วยเงา และใช้ยอด Engagement ในการลบเงานั้นออกไป

Vtuber ใช้การตลาดนี้มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก จนกระทั่งในปัจจุบัน ก็ยังคงใช้กันแพร่หลายในบ้านเรา เหมือนกับว่ามันคือค่า Default ของการเป็น Vtuber ไปแล้ว

สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมันได้ผลมากในอดีต พวกเราบางคนอาจรู้จัก Vtuber ผ่านการตลาดนี้ แต่ผมอยากชวนมาตั้งคำถามกับการตลาดนี้กันหน่อยว่า ในปี 2025 มันยังได้ผลจริง ๆ ใช่หรือเปล่า?

เพราะประสิทธิภาพของ Reveal marketing  แย่ลงเรื่อย ๆ จนคนหมดความ Hype กับการเปิดเงาไปแล้ว เนื่องจาก

  1. Vtuber เกือบทุกคนมีการเปิดเงา
  2. คนดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร ทำไมเราต้องเปิดเงาคุณด้วย

ส่วนตัว ผมไม่ได้อินกับการเปิดเงาของ Vtuber เพราะผมมีสาเหตุเหมือนข้อที่ 2 ถ้าหากนั่นไม่ใช่ Vtuber ที่ผมรู้จักแต่แรก ผมก็ไม่ได้รู้สึก Hype ที่จะกดไลก์หรือกดแชร์เพื่อเปิดเห็นหน้าเขาขนาดนั้น

Content Marketing ทางออกของ Vtuber หน้าใหม่

ผมตั้งคำถามแบบไม่กลัวเลยว่า

ทำไมเราต้องมีการเปิดเงา ในเมื่อคนไม่ได้รู้จักเราตั้งแต่แรก?

ในเมื่อช่อง Vtuber มีเยอะเป็นดอกเห็ด คนดูเขาก็คงอยากเลือกคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน มากกว่ามานั่งแชร์ใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่รู้จัก

สาเหตุที่การเปิดเงามันได้ผลกับค่ายใหญ่ อาจมาจากการที่พวกเขามีเงินทุนมากพอที่จะสร้างกระแสและพวกเขาได้สร้างตัวตนของ Vtuber ชัดเจนตั้งแต่แรก (อาจมาในรูปแบบ Trailer video)

แล้วถ้าเราเป็น Vtuber อิสระหรือค่าย Vtuber เล็ก ๆ เราจะทำยังไง?

ผมขอแนะนำ Content marketing ครับ

Content marketing คือการสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา ให้กับ target audience

หรือพูดง่าย ๆ ว่า สร้าง content ให้กับคนดูของเรา

การทำ content ในปี 2025 สามารถทำได้ทันทีตั้งแต่ การโพสต์ทวีตใน X (Twitter) ไปจนถึงการทำคลิป Shorts

ผมเห็นเหมือนกันว่า Vtuber อิสระหลายท่านเล่น X (Twitter) แล้วโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของตัวเอง ผมเชื่อว่าคุณเริ่มมาถูกทางแล้วฮะ!

ถึงผมอาจไม่ได้ติดตาม Vtuber ทุกคน แต่ผมเชื่อว่าจะมีคนที่ติดตามเพราะไลฟ์สไตล์ของคุณแน่ ๆ

จำง่าย ๆ ว่า โพสต์ทวีตติด #VtuberTH บ่อย ๆ 

ถ้าหากคุณเริ่มทำอย่างนั้นตั้งแต่แรก มันอาจช่วยการเปิดเงาคุณดีขึ้น แต่ผมก็ยังคิดว่า เอาเวลาทำโพสต์เปิดเงา ไปทำเนื้อหาลงช่องดีกว่า

การจะทำอะไรแบบนั้นได้ คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณมาทำอะไรในวงการนี้ เพื่อให้ดึงดูดคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน เข้ามาหาได้ง่าย ๆ

สรุป

ผมอาจตั้งคำถามกับการตลาดเปิดเงาก็จริง แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นวิธีการที่ไม่แย่ เหมือนกับคนยกให้ ซิกมุน ฟรอยด์ เป็นบิดาแห่งจิตวิทยาวิเคราะห์ แต่ก็ยังตั้งคำถามกับแนวคิดของเขาอยู่ดี

ผมว่ามันไม่มีอะไรถูกผิดหรือต้องใช้วิธีการนี้เท่านั้นถึงจะสำเร็จ ผมอาจเขียนอวย content marketing เพราะผมมี bias แต่คุณเท่านั้นที่จะทดลองว่าอะไรได้ผลกับตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น

ผมแค่อยากให้เราออกมาตั้งคำถามกันมากขึ้นว่า อะไรที่สังคมทำตาม ๆ กันมา มันได้ผลสำหรับเราหรือเปล่า

ถ้าหากการเปิดเงามันได้ผลกับคุณ มันคือได้ผลกับคุณ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันได้ผลกับทุกคน

การเป็น Vtuber ที่ดี อาจเป็นการที่ Vtuber รู้ว่าตัวเองมาทำอะไร ก็ได้ครับ

คุณคิดว่ายังไงครับ?

จะทำยังไงถ้าหากไม่มีช่องแชตมาคุยด้วยระหว่างไลฟ์?

คุณผู้อ่านที่เป็น Vtuber เคยเจอปัญหานี้มั้ยครับ? มาไลฟ์แล้วแต่ไม่มีใครเลยที่มาพิมพ์คุยด้วย ยังกะอยู่ในป่า ทั้งที่เราอยู่ในบ้านเราแท้ ๆ

ผมเองก็เคยเจอปัญหานี้เหมือนกันตอนที่ยังเป็น Vtuber กว่าผมจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่ได้เป็น Vtuber ไปแล้วครับ ถถถถ+

วันนี้ผมเลยอยากมาแชร์ความรู้ที่ผมมี เผื่อว่ามันอาจจะช่วยคุณผู้อ่านครับ

สาเหตุของการที่ไม่มีคนมาพิมพ์แชต

สาเหตุมันอาจมาจากการที่คุณผู้อ่าน

  1. ยังไม่มีคนรู้จักคุณ
  2. คนดูไม่รู้ว่าคุณทำอะไร
  3. คุณอาจคุยไม่สนุกสำหรับเขา

หลังจากไปเรียนการตลาดออนไลน์มา ผมได้รู้มาว่า การรู้จักลูกค้าถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เหมือนเราจะขายส้ม เราก็ต้องรู้ว่าคนแบบไหนที่ชอบกินส้ม เพื่อขายส้มได้ถูกที่และถูกเวลา อะไรทำนองนั้นครับ

คนดูไม่รู้จักคุณ

ก่อนอื่นเลยเราต้องตามหา Target audience ของตัวเองครับ

Target audience คือ กลุ่มเป้าหมายที่เราอยากไปขายสินค้าให้พวกเขา (ในที่นี้หมายถึงกลุ่มคนดู) ถ้าถามว่าเราต้องรู้จักพวกเขามากแค่ไหนถึงจะพอ? มันก็เหมือนกับถามว่า เราต้องมีเงินมากแค่ไหนถึงจะพอ คำตอบคือ ไม่พอ ครับ

คุณผู้อ่านสามารถไปหาคนที่ คิดว่า น่าจะเป็นลูกค้าของเราได้ จากการไปดูไลฟ์ของ Vtuber ที่ทำ content ที่เราอยากทำครับ

พอเลื่อนลงไปในช่อง comment คุณก็จะได้เจอกับกลุ่มลูกค้าในอนาคตของคุณแล้ว

พวกเขาอาจจะเป็นกลุ่มลูกค้าของคุณในอนาคตก็ได้นะครับ ถ้าหากไม่ศึกษาพวกเขาสักหน่อย คุณก็อาจจะไม่รู้เลยว่าต้องทำ content แบบไหนคนถึงจะดู และเราจะใช้แต่ สัญชาตญาณ อย่างเดียวไม่ได้นะครับ เราต้องใช้สลับกับการใช้ข้อมูล เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุด

เหมือนกับการเล่นเกมแนว Rouge-like ที่ผมชอบครับ ผมชอบทำ build แปลก ๆ ก็จริง แต่ build ที่ชนะเกมได้ครั้งแรกคือ build ที่ใช้ skill ทุกอย่างที่มี ไม่ใช่แค่ skill เดียวครับ

เมื่อคุณได้รู้จักกับ Target audience ของตัวเอง ไม่แน่ว่าคุณอาจสร้าง content ที่เข้าถึงจิตใจของพวกเขา จนสร้างฐานแฟนคลับที่เหนี่ยวแน่นก็ได้ครับ

คุณผู้อ่านคิดว่ายังไงครับ?

ถ้าหากไม่แน่ใจว่าเราจะหา Vtuber ได้จากไหน คุณผู้อ่านสามารถหาได้จาก #VtuberTH ได้เลยฮะ หรือถ้าอยากไปส่องตลาดต่างชาติก็ใช้ #Vtuber หรือ #VtuberEN ก็ได้ฮะ

คนดูไม่รู้ว่าคุณทำอะไร

ประเด็นต่อมาคือ การที่คุณทำเนื้อหาจับฉ่ายบ่อยเกินไปครับ

ผมรู้สึกว่าการทำเนื้อหาแบบนี้ มันทำให้คนดูไม่รู้ว่าเราทำอะไรกันแน่ เหมือนกับว่าคุณซื้อหนังสือที่ปกเขียนว่า “พัฒนาตัวเองด้วยกฎ 999 ประการ” แต่เนื้อหาคุยตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนถึงทฤษฎีสมคบคิด คือมันมีแต่เนื้อหาที่น่าสนใจครับ แต่พอเราพลิกไปดูหน้าปก เรายังร้อง เอ๊ะ เลยใช่มั้ยครับ?

การทำเนื้อหา (Content) จะอ้างอิงจาก Target audience ของเราครับ แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าเรา Values ของเราที่มีต่อ Target audience คืออะไร

พูดง่าย ๆ คือ เราอยากให้อะไรกับคนดู

คุณจะเข้าสู่กระบวนการสร้าง Personal Branding โดยไม่รู้ตัวเมื่อเริ่มตั้งคำถามพวกนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกับการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนในระยะยาวครับ

Personal branding คือการสร้างมุมมองที่คนอื่นมองมายังเราครับ และพวกเราคงไม่อยากสร้างชื่อเสียงแย่ ๆ ให้กับตัวเองใช่มั้ยครับ? ยกตัวอย่างเช่น ผมอยากให้ทุกคนมองว่า ผมทำร้านรับวาดโมเดล Pngtuber ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับ Vtuber ทุกคน

พูดง่าย ๆ ว่า อยากเป็นคนมีความรู้ครับ

คุณผู้อ่านคิดว่าผมต้องทำยังไงผมถึงจะดูมีความรู้หรอครับ?

อ่านหนังสือเยอะ ๆ และแชร์ความรู้ให้กับคุณผู้อ่านครับ

การสร้าง Personal branding ของผมก็จะเป็นไปในทำนองนี้ ลากยาวไปจนถึงการสร้าง content แบบอื่น ๆ

ผมแนะนำว่าให้คุณลองหาคุณค่าในตัวเองดูครับ

ส่วนตัวผมใช้การจดลงใน Notion แล้วก็ List เป็นข้อ ๆ ไป

จำเอาไว้นะครับ content เป็นแค่วิธีการที่ทำให้เราได้แสดงคุณค่าของเรา ถ้าคิดอย่างนี้ มันจะช่วยให้เราไม่จำกัดการทำ content ครับ

คนที่คุยไม่สนุก

ที่นี้เรามาคุยเรื่องสนุก ๆ กันมั้ยครับ?

เราจะทำยังไงให้เราคุยได้สนุกกับคนดูหรอ? ผมว่า ถ้าหากคุณได้ตามหาตัวเองจนสร้าง Personal branding ของตัวเองได้ คุณก็อาจจะมีเรื่องสนุก ๆ ในสายของตัวเองเยอะแยะแล้วครับ

แต่การคุยให้สนุกกับทำ content ให้สนุกอาจมีความแตกต่างกันบ้าง การคุยใช้กับตอนที่คุณพูดกับคนดู ส่วนการทำ content อาจไม่ได้คุยกับใครเลยก็ได้

เมื่อคุณได้สร้างตัวตนที่ชัดเจน ผมเชื่อว่าคุณอาจมีคนมาชอบตัวตนของคุณในฐานะของอะไรสักอย่าง เช่น Vtuber ที่คุยเรื่องการตั้งแคมป์ เป็นต้น

แต่อย่าลืมนะครับว่า คุณค่าหรือ Personal branding ของเรา ต้องมาจากความชอบส่วนตัวของเรา

ถ้าหากคุณไม่ enjoy กับสิ่งที่ทำ คนดูอาจรับรู้ก็ได้ครับ

ถ้าคุณได้ทำ content ที่คุณชอบจริง ๆ แล้ว ลองค้นหาใน #VtuberTH หรือ community อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ content ของคุณ เพื่อติดต่อขอ colllab กับคนที่ชอบอะไรเหมือนกันดูนะครับ!

ผมเชื่อว่า การได้คุยในสิ่งที่ตัวเอง enjoy มันจะมีรสชาติออกมาเอง จนทำให้คนดูที่ชอบอะไรเหมือนกันก็อยากมาร่วมคุยด้วยครับ!